โอมิครอน JN.1 พบแล้วในไทย คาดสายพันธุ์หลักต้นปี 67

19 ธ.ค. 2566 | 16:28 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ธ.ค. 2566 | 16:28 น.
702

โอมิครอน JN.1 พบแล้วในไทย 1 ราย อัตราเเพร่เชื้อสูง แต่อาการทั่วไปไม่รุนเเรง คาดเป็นสายพันธุ์หลักต้นปี 2567 เหมือนประเทศอื่น

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุผ่านเฟซบุ๊กว่า ประเทศไทยเพิ่งพบ โอมิครอน JN.1 (รุ่นลูกของโอมิครอน BA.2.86) จำนวน  1 ราย เมื่อ 28 ตุลาคม 2566 โดยมีการแชร์รหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมที่แยกได้จากผู้ติดเชื้อในกรุงเทพมหานครฯ ไว้บนฐานข้อมูลโควิดโลกจีเสส (GISAID) คาดว่าต้นปีหน้าอาจแพร่เป็นสายพันธุ์หลักเหมือนประเทศอื่น

สำหรับไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์โอมิครอน BA.2.86 หรือชื่อไม่เป็นทางการว่า "พิโรลา" ขึ้นชื่อเรื่องความสามารถในการจับกับผิวเซลล์ปอดของผู้ติดเชื้อได้ดีที่สุด แต่ยังหลบหนีภูมิคุ้มกันในร่างกายมนุษย์ได้ไม่ดีนัก เมื่อเทียบกับโอมิครอนที่ระบาดมาก่อนหน้า เช่น EG.5.1 และ HK.3 อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกกังวลว่า BA.2.86 อาจมีการกลายพันธุ์เพื่อหลีกเลี่ยงภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้น โดยพบมีการซุ่มตัวแพร่เชื้อในระดับต่ำๆ มาหลายเดือนแล้ว และในที่สุดโอมิครอนสายพันธุ์ JN.1 (B.1.1.529.2.86.1.1) ได้อุบัติขึ้นมา

โอมิครอน JN.1 เป็นรุ่นลูกของโอมิครอน BA.2.86 ซึ่งบนส่วนหนามมีการกลายพันธุ์เพิ่มขึ้นหนึ่งตำแหน่งคือ "L455S" ส่งผลให้มีความสามารถทั้งจับกับผิวเซลล์ และหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดีที่สุดในโลก ทำให้ในปัจจุบันกลายเป็นสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดโดดเด่นในฝรั่งเศสอย่างรวดเร็ว

ความสามารถในการแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว และความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันของโอมิครอน JN.1 ทำให้ทั้งองค์การอนามัยโลก กรมควบคุมโรคสหรัฐฯ และอังกฤษ เตือนประชาชนกลุ่มเปราะบางให้เข้ามารับการฉีดวัคซีน

ด้านรัฐบาลอินเดีย ได้แนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการติดเชื้อโอมิครอน JN.1 โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง โดยให้ปฏิบัติมาตรการป้องกันอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น กินร้อน ช้อนกลาง และเว้นระยะห่างทางสังคม

ประเทศที่ตรวจพบโอมิครอน JN.1 จำนวนมากที่สุด 5 อันดับแรก ประเทศเดนมาร์ก รองลงมาคือ สหรัฐฯ, สิงคโปร์, ฝรั่งเศส และอังกฤษ ตามลำดับ

แม้ว่า โอมิครอน JN.1 จะมีความสามารถในการแพร่เชื้อได้สูงกว่า แต่อาการโดยทั่วไปไม่รุนแรง ยังไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น