นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ผ่าน FACEBOOK เปรียบเทียบแนวโน้มความรุนแรงของโควิด19 เทียบกับไข้หวัดใหญ่ 2009 ว่า
ในปีแรกของการระบาดด้วยไข้หวัดใหญ่ 2009 เมื่อไวรัสเข้าสู่ประเทศไทย มีการตื่นตระหนกกันพอควร เพราะมีสื่อต่าง ๆ รวมทั้งบุคคลต่าง ๆ พยายามพูดและคิดว่าจะเหมือนกับไข้หวัดใหญ่สเปน เพราะเป็นสายพันธุ์ใหม่และคิดว่าประชากรส่วนใหญ่ยังไม่มีภูมิต้านทาน แต่ความเป็นจริงก็ไม่ได้เป็นอย่างข่าวหรือที่มีการกล่าวถึง
เนื่องจากสายพันธุ์ไข้หวัดใหญ่ 2009 มีความใกล้เคียงกับสายพันธุ์ของ H1N1 ในอดีตหรือไข้หวัดใหญ่สเปน ทำให้ผู้สูงอายุมีภูมิคุ้มกันบางส่วน โรคจึงเป็นกับเด็กและวัยกลางคนเป็นจำนวนมากแทน
โดยอัตราการสูญเสียในการระบาดปีแรก ประมาณ 200 กว่าคน และเข้าสู่ภาวะปกติในปีต่อมา ไวรัสไม่ได้หายไปไหน ยังอยู่กับเราจนถึงปัจจุบัน และอัตราการเสียชีวิตในปีต่อ ๆ มา ก็ลดลงมาโดยตลอด
สำหรับเชื้อโควิด 19 ก็เช่นเดียวกัน ในปีแรก คนส่วนใหญ่ยังไม่มีภูมิต้านทาน ความรุนแรงของโรคจึงสูงสุดในปีแรก และก็ค่อยๆลดลง เมื่อประชากรส่วนใหญ่ติดเชื้อไปแล้วและสร้างภูมิต้านทาน ที่เกิดขึ้นจากวัคซีนเป็นส่วนใหญ่
มาจนถึงวันนี้ความรุนแรงของโรค จะเห็นได้จากอัตราการเสียชีวิต และอยู่ที่ 1-3 รายต่อสัปดาห์ในช่วงฤดูกาล และจะน้อยกว่านี้อีกเมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนปีต่อไปซึ่งเมื่อรวมทั้งปีแล้ว ก็ไม่น่าจะมากกว่าจำนวนการเสียชีวิตของ ไข้หวัดใหญ่ 2009 ในการระบาดปีแรก
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาสายพันธุ์ของโควิด 19 ขณะนี้มีสายพันธุ์ย่อยเป็นจำนวนมาก คาดการณ์ยาก ว่าสายพันธุ์ที่จะระบาดปีหน้าคืออะไร การพัฒนาวัคซีนให้ตรงกับสายพันธุ์ที่ระบาด ก็ทำได้ยากพอสมควร การติดเชื้อเป็นแล้วก็เป็นได้อีก เช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่