เปิดแนวทางฉีดวัคซีนหลัง"โควิด 19" end game ปรับสู่โรคประจำฤดูกาล

06 ก.พ. 2566 | 15:21 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ก.พ. 2566 | 15:21 น.

เปิดแนวทางฉีดวัคซีนหลัง"โควิด 19" end game ปรับสู่โรคประจำฤดูกาล ดูเลยที่นี่มีคำตอบ หมอยงเผยการนับยอดผู้ป่วยติดเชื้อไม่เกิดประโยชน์ เหตุตัวเลขที่รายงานต่ำกว่าความเป็นจริงมาก 

โควิด 19 ไม่มีวันหายไปจากโลกนี้ แต่จะถูกปรับเปลี่ยนเป็นโรคประจำฤดูกาล

รูปแบบการฉีดวัคซีน การรายงานจำนวนผู้ป่วยก็จะเปลี่ยนไป

นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า

โควิด 19  end game โดยเข้าสู่โรคประจำฤดูกาล

โรคโควิด 19 ไม่ได้หายไปไหน และน่าจะสิ้นสุดด้วยการเปลี่ยนเป็นโรคประจำฤดูกาลต่อไป 

ในปีที่ 4 นี้ การนับยอดผู้ป่วยติดเชื้อ ไม่เกิดประโยชน์ เพราะตัวเลขที่รายงานต่ำกว่าความเป็นจริงมาก 

ขณะนี้ทั่วโลกน่าจะมีการติดเชื้อมากกว่า 70%  หรือประมาณ 5 พันล้านคน ตัวเลขที่รายงานการติดเชื้อทั่วโลกมีประมาณเกือบ 700 ล้านคน ต่ำกว่าความเป็นจริงประมาณ 10 เท่า 

ประเทศไทยก็ไม่ได้รายงานตัวเลขติดเชื้อแล้ว รายงานเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาลและผู้เสียชีวิตเท่านั้น 

องค์การอนามัยโลก (WHO) คงจะเลิกนับตัวเลขในเร็วๆนี้ หลังจากการระบาดในประเทศจีนลดลง (เพราะส่วนใหญ่ติดเชื้อแล้ว)

ความรุนแรงของโรคลดลงมาโดยตลอด ผู้เสียชีวิตมากกว่า 80% เป็นผู้สูงอายุ และมีโรคประจำตัว จะไม่มีการย้อนไปปิดบ้านปิดเมืองอีกแล้ว 

วัคซีน โดยเฉพาะ mRNA ตลาดควรเป็นของผู้ซื้อ วัคซีนมีอายุสั้น และขวดหนึ่ง ยังมีจำนวน 7-10 โดส 

จึงยากต่อการใช้ ให้มีการสูญเสียทิ้งให้น้อยที่สุด ประกอบกับมีราคาแพง มีอาการแทรกซ้อนที่พบได้ มากกว่าวัคซีนที่ใช้ในอดีต

โควิด 19 end game ปรับสู่โรคประจำฤดูกาล

และในอนาคตเมื่อเทียบกับความรุนแรงของโรค จึงเป็นการยากที่ประเทศกำลังพัฒนาเข้าถึง 

ความจำเป็นที่จะต้องฉีดทุก 4-6 เดือนไม่มีอีกแล้ว เมื่อเข้าสู่โรคประจำฤดูกาล การให้วัคซีนจะเหลือปีละ 1 ครั้ง 

การนัดคนมาฉีดพร้อมกันเพื่อลดการสูญเสียของวัคซีนจะทำได้ยากขึ้น  

โดยเฉพาะวัคซีนมีอายุสั้น การเก็บรักษายุ่งยาก ใช้อุณหภูมิติดลบ ยิ่งทำให้ราคาแพงขึ้น 

การให้ได้วัคซีนตรงกับสายพันธุ์ยิ่งยากเข้าไปอีก เพราะการพัฒนาต้องมีต้นทุนสูงและเมื่อพัฒนาขึ้นมาแล้วไวรัสก็เปลี่ยนสายพันธุ์ไปอีก 

ในอนาคตอันใกล้นี้ก็น่าจะได้เห็นตัวเลขของประเทศที่ใช้วัคซีนต่างชนิดกัน 
ประสิทธิภาพในการลดความรุนแรง หรือเสียชีวิตเป็นอย่างไร 

เมื่อทุกประเทศส่วนใหญ่ติดเชื้อไปหมดแล้ว จะเป็นการย้อนดูบทเรียนในอดีต  

ประเทศไทยมีการติดเชื้อไปแล้วมากกว่า 70% ถึงวันนี้น่าจะถึง 80% 

ทำให้มีภูมิต้านทานแบบธรรมชาติร่วมกับภูมิต้านทานจากวัคซีน ในประชากรเกือบทั้งหมด 

และถ้าจำเป็นต้องฉีดวัคซีนปีละ 1 ครั้ง โดยให้ในกลุ่มเสี่ยง ปริมาณวัคซีนที่ใช้ต่อปี ก็จะเหมือนไข้หวัดใหญ่ 

ที่มีฤดูกาลระบาดในฤดูฝนหรือโรงเรียนเปิดเทอมแรก ในเดือนมิถุนายนนั่นเอง 

การให้วัคซีนประจำปี ก็ควรจะเป็น เดือนเมษายน - พฤษภาคม เพื่อป้องกันการระบาดในฤดูฝน ที่จะเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน