นายพัฒนพงศ์ รานุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท ดีวานา เวลเนส จำกัด หรือ แบรนด์ “divana” กล่าวว่า แบรนด์ divana วางแผนรุกตลาดปี 2568 ด้วยการทุ่มงบลงทุน 100 ล้านบาท เปิด Luxury Spa สาขาใหม่ หลังจากเปิดบริการในเฟสแรกที่ภูเก็ตตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 ที่ผ่านมา และช่วงต้นปี 2568 จะขยายพื้นที่คาเฟ่ ผลิตภัณฑ์สปา พร้อมโซนผลิตภัณฑ์เครื่องหอมเพิ่มเติม ทั้งขยายอีก 2 สาขาไปยังพัทยาและเชียงใหม่ปลายปีนี้ จากเดิมที่เชียงใหม่มีอยู่แล้ว 1 สาขา
นอกจากนี้ยัง ยังเดินหน้าเปิดร้านค้าปลีกนขายโปดักส์สินค้าเพิ่มอีก 5 สาขา ด้วยงบลงทุนประมาณ 10 ล้านบาทต่อ 1 สาขา ได้แก่ Icon Siam, Central World, Paragon และอีก 2 สาขา ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ รวมถึงร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในต่างประเทศวางแผนขยายสาขาแบบ Pop Up นำร่องไปยังตลาดจีน ญี่ปุ่น ยุโรป และประเทศแถบอาเซียน Middle East
"เราลงทุนเพิ่มในส่วนของ Luxury Spa ประมาณ 50 ล้านบาท และอีก 50 ล้านบาท เปิดร้านค้าปลีกเฉลี่ยระบบทุกอย่างประมาณ 10 ล้านบาทต่อ 1 สาขา ถือว่าเป็น Rising Star ที่กำลังจะเปิดสาขาเพิ่มต่อเนื่อง พร้อมเข้าไปยังตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงอย่างเวียดนาม อินโดนีเซีย ตามด้วยฟิลิปินส์ ขณะที่ประเทศไทยถือว่าอยู่ในยุคที่ผู้คนเข้าสู่ Ageing society ฉะนั้นหากจะให้ตลาดเวลเนสในประเทศไทยเติบโตขึ้นได้ ผู้ประกอบการต้องร่วมมือกัน ขณะเดียวกันรัฐบาลต้องเชตมาตรฐานธุรกิจด้างนี้ให้ดี มีนวัตกรรม และยั่งยืน"
นายพัฒนพงศ์ กล่าวว่า ธุรกิจหลักของ divana แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1.ธุรกิจ Luxury Spa ปัจจุบันเปิดให้บริการรวม 6 สาขา ภายใต้แบรนด์ divana Scentuara spa, divana Divine spa, divana Virtue spa, divana Nurture spa ที่กรุงเทพฯ, divana Lana spa ที่เชียงใหม่ และล่าสุดเพิ่งเปิด divana Anda spa ที่ลากูนา ภูเก็ต ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Sustainability is the new luxury’
2.ธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์สปาและเครื่องหอม ภายใต้แบรนด์ “divana” มีสินค้าจำหน่ายมากกว่า 20 สาขา ผ่านช่องทางจำหน่ายสาขาหลัก (Flagship Store) ที่ Emsphere และร้านค้าปลีก (Concept Store) ที่ Central World, Icon Siam, King Power รวมถึงจำหน่ายผ่านห้างสรรพสินค้า ที่ Paragon, Emporium, Central โดยมีรายการผลิตภัณฑ์สปาและเครื่องหอมกว่า 200 SKUs
อาทิ เทียนหอม (Scented Candle), ก้านไม้หอมปรับอากาศ (Room Diffuser), ออยล์ทาตัว (Body Oil), น้ำมันอโรมา (Essential Oil) รวมถึงครีมทามือ (Hand Cream) และน้ำมันนวด (Massage Oil) ที่การันตียอดขายสูงสุดอันดับต้นในตลาด
ดั้งนั้น ในปี 2568 ตั้งเป้าไว้ว่า รายได้รวมจะเติบโตขึ้น 100% หรือเติบโตเท่าตัวประมาณ 600 ล้านบาท จากปี 2567 ขณะที่ ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าหลักเป็นชาวต่างชาติ สักส่วนมากถึง 80% ส่วนคนไทยมีสัดส่วนเพียง 20% ขณะที่เทรนด์อุตสาหกรรมสปา ทาง Global Wellness Institute (GWI) คาดการณ์ว่า ปี 2568 'เศรษฐกิจเพื่อสุขภาพทั่วโลก' (Global Wellness Economy) จะมีมูลค่าประมาณ 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 230 ล้านล้านบาท อีกทั้งยังคาดการณ์ด้วยว่าตั้งแต่ปี 2563-2568 ธุรกิจสปาจะมีการเติบโตเฉลี่ยต่อปี อยู่ที่อัตรา 17.2% ส่วนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ จะเติบโตเฉลี่ยที่อัตรา 20.9%
ด้าน นายธเนศ จิระเสวกดิลก ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดและผู้ร่วมก่อตั้ง divana กล่าวว่า divana ยังมุ่งมั่นในการทรานส์ฟอร์มแบรนด์สู่ความเป็น Sustainable Luxury หรือ การสร้างคุณค่าแห่งความยั่งยืน ด้วยการนำเสนอผ่าน 3 คุณค่าหลักของ divana ได้แก่ สุขภาพ (Wellness) ธรรมชาติ (Natural) และการบริการ (Hospitality)
“จุดมุ่งหมายของ divana คือ Longevity Life การให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (Sustainable) ครอบคลุมทุกมิติ divana มองว่า "Longevity" ไม่ได้หมายถึงแค่การมีอายุยืนยาว แต่คือศิลปะแห่งการใช้ชีวิตที่สมดุล งดงาม มีคุณค่า และถือเป็นการก้าวเข้าสู่ปีที่ 25 ของ divana ที่จะมุ่งไปสู่ความยั่งยืนในอนาคต”
สำหรับ divana ที่ปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2544 ถือว่ามีประสบการณ์ในธุรกิจสปาและเครื่องหอม ในวาระฉลองครบรอบ 25 ปี ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ 5 กลิ่น ได้แก่ 1) Sunrise (Cedarwood | Jasmine | Black Pepper) 2) Queen of The Night (8 Midnight Flowers | Orange | Musk) 3) Snow Drop (Peony | Geranium | Patchouli) 4) Laguna (Marine Mint | Leather | Musk) 5) Foresta (Greenish Cardamom | Jasmine | Vetiver) รวมทั้งอีก 1 ผลิตภัณฑ์ คือ Scent Bracelet: กำไลข้อมือจาก Recycled Silver และหินลาวา
อย่างไรก็ตาม นายธเนศ กล่าวว่า ไม่เพียงแต่ธุรกิจเครื่องหอมและสปา ยังมีในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ Wellness อีกหลายอย่าง ที่ผู้ประกอบการภาครัฐและเอกชน ควรได้รัการสนับสนุนที่ชัดเจน ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการเติบโตของธุรกิจ นำไปสู่การเทียบเคียงกับจุดหมายปลายทางด้าน wellness ระดับโลกได้