โอมิครอน BA.5 แพร่เชื้อ กทม. แล้วเกินครึ่งเมือง ติดโควิดจริง 5 หมื่นรายต่อวัน

19 ก.ค. 2565 | 10:32 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ก.ค. 2565 | 17:32 น.
4.3 k

โอมิครอน BA.5 แพร่เชื้อ กทม. แล้วเกินครึ่งเมือง ติดโควิดจริง 5 หมื่นรายต่อวัน หมอศิริราชชี้การกระเพื่อมหลังช่วงหยุดยาวจึงไม่น่าเป็นระลอกใหญ่

รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล (หมอนิธิพัฒน์) หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว (นิธิพัฒน์ เจียรกุล) โดยมีข้อความระบุว่า 

 

สถานการณ์ที่บ้านริมน้ำยังทรงตัวเมื่อย่างเข้าสู่วันที่สองหลังช่วงหยุดยาว บุคลากรที่เคยติดเชื้อลดไปหลักสิบกว่า เริ่มขึ้นมาใหม่ที่ห้าสิบกว่า แต่ก็ยังน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของช่วงจุดสูงสุดเมื่อต้นเดือนนี้ ส่วนผู้ป่วยตกค้างรอเข้าไอซียูโควิดไม่มีแล้ว 

 

เหลือแต่ผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อรังอื่นแต่ติดเชื้อโควิด ที่รอการหมุนเวียนเข้ารับการรักษาในเตียงผู้ป่วยโควิดที่แทรกอยู่ในวอร์ดผู้ป่วยทั่วไป หรือผู้ป่วยโรคเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ติดเชื้อโควิดแต่ญาติไม่สามารถดูแลที่บ้านได้ เราจะทำให้ดีที่สุดไม่ให้เสียประโยชน์ทั้งผู้ป่วยทั่วไปอื่นๆ ผู้ป่วยโรคอื่นที่ติดเชื้อโควิด และผู้ป่วยโควิดอาการรุนแรง

 

ยอดผู้ป่วยอาการรุนแรงเมื่อวานอยู่ที่ 794 คน ใกล้ทะลุแนวต้านแรกที่ 800 ได้แล้ว และยอดผู้ป่วยที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่ที่ 10,974 คน ใกล้ทะลุแนวต้านแรกที่ 11,000 ได้เช่นกัน (ล่าสุดเมื่อครู่หลังแปดโมง ทะลุทั้งสองแนวต้านแล้ว) 

สำหรับตัวเลขผู้ป่วยตรวจพบเชื้อแล้วแยกกักตัวที่บ้าน สัปดาห์ที่ 10-16 ก.ค. อยู่ที่ 143,827 คน ซึ่งลดจากสองสัปดาห์ก่อนที่ 207,643 และลดจากหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ 149,537 แต่ต้องระวังว่าน่าจะมีผู้ไม่รายงานเข้าในระบบอีกอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง 

 

ดังนั้นยอดผู้ติดเชื้อปัจจุบันยังน่าจะอยู่ที่ราวห้าหมื่นคนต่อวัน อาจทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย ถ้าอยู่ขาทรงหรือขาลงจริง การกระเพื่อมหลังช่วงหยุดยาวจึงไม่น่าเป็นระลอกใหญ่ ผมเชื่อว่าผ่านโอมิครอนมาตั้งแต่ BA.1, BA.2 , BA.4,  และ BA.5 คนกรุงเทพติดเชื้อโอมิครอนไปแล้วเกินครึ่งเมือง จึงไม่น่าเหลือให้มาระบาดใหญ่อีก 

 

เหลือแค่กระเพื่อมเล็กน้อยเป็นช่วงๆ จากพวกที่ยังรอดตัวอยู่ หรือพวกที่ติดเชื้อโอมิครอนแล้วมานานเกิน 4 เดือนขึ้นไป

 

โอมิครอน BA.5 แพร่เชื้อ กทม. แล้วเกินครึ่งเมือง

 

ประชาชนควรเตรียมตัวอย่างไรเพื่อรับมือกับช่วงเปลี่ยนผ่าน ไปสู่การอยู่ร่วมกับโควิดแบบโรคประจำถิ่น

 

  • เข้ารับวัคซีนโควิดเข็มมาตรฐานให้ครบ และเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นอย่างน้อยหนึ่งเข็มสำหรับคนทั่วไป และสองเข็มอย่างน้อยสำหรับคนกลุ่มเปราะบาง หรือคนที่มีอาชีพต้องพบปะผู้คนมากหน้าหลายตา หรือคนที่ต้องคอยดูแลคนกลุ่มเปราะบาง วัคซีนช่วยป้องกันการป่วยรุนแรงและลดโอกาสการเสียชีวิตจากโควิดได้ แถมยังช่วยลดโอกาสและลดความรุนแรงของกลุ่มอาการลองโควิดได้อีกด้วย

 

  • ทำกิจกรรมนอกบ้าน ทั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจและกิจกรรมทางสังคม อย่างมีสติและพอประมาณ ระมัดระวังตัวเองตลอดเวลา และพร้อมจะปรับเปลี่ยนให้รัดกุมขึ้นเมื่อมีสถานการณ์โรคกระเพื่อม
  • ทำความคุ้นเคยและรู้จักกับโควิดในฐานะโรคประจำถิ่น ปฏิบัติตัวได้ถูกต้องเมื่อเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ดูแลตนเองที่บ้านได้เมื่อเกิดการติดเชื้อแบบไม่มีอาการหรือมีอาการน้อย ซึ่งคนที่ไม่ใช่กลุ่มเปราะบางส่วนใหญ่ใช้แค่เพียงยารักษาตามอาการก็พอ ไม่จำเป็นต้องได้รับยาต้านไวรัสใดๆ ทั้งสิ้น 

 

  • ต้องตรวจจับสัญญานการติดเชื้อแล้วมีอาการป่วยรุนแรงให้ได้เร็ว คือ ไข้สูง หายใจเร็วและหายใจหอบเหนื่อย (ถ้าวัดออกซิเจนในเลือดได้ต่ำร่วมด้วยก็จะแม่นยำขึ้น) หรือ มีชีพจรเต้นเร็วโดยไม่ทราบเหตุ เพื่อที่จะได้ประสานงานเข้ารับการรักษาโดยรีบด่วนในโรงพยาบาล

 

ผมว่าภาคการแพทย์และภาคประชาชนมีความพร้อมระดับหนึ่งแล้ว รอแต่ฝ่ายนโยบายให้มาแสดงบทบาทนำหน้าให้ชัดเจน ไม่รู้ตอนนี้มัวไปสาละวนกับเรื่องสุขภาพอื่นๆ หรือเรื่องเปิดเสรี “สางเขียว (กัญชา)”

 

หรือเตรียมรับมือศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา ซึ่งไม่รู้จะเป็นมวยล้มต้มคนดูเหมือนที่ผ่านๆ มาหรือเปล่า