"สรพงศ์ ชาตรี" ในความทรงจำ"ท่านมุ้ย" จากจุดเริ่มต้นถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

12 มี.ค. 2565 | 14:29 น.
อัปเดตล่าสุด :12 มี.ค. 2565 | 21:44 น.
3.3 k

"สรพงศ์ ชาตรี"ในความทรงจำท่านมุ้ย หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล เปิดใจถึงจุดเริ่มต้นในการตัดสินใจปั้นพระเอกตลอดกาล จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

การจากไปของ ‘สรพงษ์ ชาตรี’ พระเอกตลอดกาลและนักแสดงชื่อดัง ที่ล้มป่วย และเสียชีวิต ลงอย่างสงบ ด้วยโรคมะเร็งปอด เมื่อเวลา 15.51 น ณ ห้องพักผู้ป่วยโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2565 ถือเป็นความสูญเสียของวงการบันเทิงไทย

 

 

โดยในวันแรกของการสวดอภิธรรม ท่านมุ้ย หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ได้เดินทางไปร่วมงานสวดอภิธรรม "สรพงศ์ ชาตรี"เมื่อวันที่ 11 มี.ค.2565 ศาลา 11 ศาลากลางน้ำ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร โดยท่านมุ้ย ได้เปิดใจถึง เอก-สรพงศ์ ชาตรี พระเอกลูกหม้อผู้ล่วงลับ ดังนี้

 

 

\"สรพงศ์ ชาตรี\" ในความทรงจำ\"ท่านมุ้ย\" จากจุดเริ่มต้นถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

จุดเริ่มต้นที่ทำให้ท่านมุ้ยเห็นแววในตัว เอก สรพงศ์ ชาตรี ท่านมุ้ยเปิดใจว่า ๆตอนนั้นผมกำลังทำเรื่อง "ห้องสีชมพู"  ก็มีมาสมัครพร้อมกันหลายคนประมาณ 3 คน ที่มาสมัครพร้อมกัน  ซึ่งมันก็มีตัวละครเหลืออยู่ตัวหนึ่ง คือต้องมีตัวผู้ร้าย ผมก็ถามคุณกัมปนาท ว่าคุณจะเล่นเป็นผู้ร้ายได้ไหม เขาก็บอกว่าไม่เอาครับ เพราะว่าเขาอยากจะเป็นพระเอก และพอผมถามคุณดำ ดัสกร เขาก็บอกว่าไม่เอาเหมือนกัน เพราะว่าเขาอยากจะเป็นพระรอง แต่พอถามคุณสรพงศ์ ชาตรี เขาตอบทันทีว่า ผมเล่นครับ และจากวันนั้นผมก็เห็นแววเขาเลย คือเขาไม่เลือกบท ขอให้บทมันดีก็ละกัน

 

จากนั้นผมก็ทดลองเขาดูว่าเขาเล่นได้หรือเปล่า เพราะว่าตอนที่เขามาสมัคร เขาแต่งตัวเต็มที่ ผูกเนกไทน์ ใส่เสื้อนอก ผมก็เลยทดลองเขาโดยการบอกเขาว่า ให้เขาอุ้มเด็ก ซึ่งก็คือ ตุ๊กตา จินดานุช และกระโดดข้ามท้องร่อง ซึ่งเขาทำได้ทันทีเลย ทั้งๆ ที่ตกอยู่ในน้ำ เสื้อสูทของเขานี่คือเปียกโชกไปหมดเลย ผมก็เลยเห็นแววเขามาตั้งแต่วันนั้น

จากนั้นพอเริ่มถ่ายทำห้องสีชมพู ผมก็ให้เขาเล่นเป็นตัวผู้ร้าย แต่ว่าจริงๆ แล้วมันแทบจะเป็นตัวพระเอกเลยทีเดียว ซึ่งนับจากวันนั้นมาก็ทำให้ผมเห็นแววว่าสรพงศ์สามารถเล่นเป็นพระเอกได้ ส่วนคุณกัมปนาท ก็สูญหายไปจากวงการ เพราะว่าแกเลือกบท นั่นคือครั้งแรกเลย

 

ส่วนการก้าวขึ้นมาเป็นพระเอกของ สรพงษ์ ชาตรี ท่านมุ้ย  เล่าว่าผมทำเรื่อง "มันมากับความมืด" และก็เอาคุณไชยาเล่น แต่บังเอิญว่าคุณไชยาเขาติดธุระ ผมก็เลยเอาคนที่อยู่ใกล้ตัวผมมาเล่น เพราะว่าตอนนั้นคุณสรพงศ์แทบจะเรียกได้ว่าทำทุกอย่าง ผมจึงโปรโมทให้ สรพงศ์ขึ้นมาเป็นพระเอกแทนไชยา เพราะทุกคนบอกว่าคุณไชยาเป็นพระเอก 2 หรือ 3 ตุ๊กตาทอง ผมจำไม่ได้ แต่ผมบอกว่าคุณดูเด็กคนนี้นะว่าเขาจะได้ตุ๊กตาทองมากกว่าคุณไชยา ซึ่งก็เป็นอย่างที่ผมคาดคะเนไว้ รู้สึกว่าเขาจะได้ 5 หรือ 6 ตัว นี่แหละครับ จำไม่ได้แล้ว

 

สรพงษ์ ชาตรี

 

เขาเป็นคนที่กล้าได้กล้าเสีย อย่างสมัยนู้นทุกคนไว้ผมยาว ผมให้เขามาเล่นเป็นหมอกานต์ สิ่งแรกที่ทำจับตัดผม มันเป็นสิ่งที่สมัยนู้นเขาไม่ทำกัน เขาต้องไว้ผมยาว ใส่กางเกงขาบาน แต่ว่าสรพงศ์เขายอมตัด ตัดผมออกมาหน้าเขาเปลี่ยน จากเด็กวัยรุ่นไว้ผมยาวกลายเป็นหมอกานต์ ผมสั้นแล้วแสดงได้สมบทบาทมาก

 

เรามองสรพงศ์ในฐานะที่เขามีความตั้งใจ มีความพยายามสูงมาก ไม่ใช่แค่สรพงศ์ ผู้พันเบิร์ดก็แสดงได้เต็มที่ วันนี้แกก็มาอยู่เป็นเพื่อนของเอก ผู้พันเบิร์ดเล่นเป็นพระนเรศวรก็ทิ้งคราบของผู้พันไปหมด กลายเป็นพระเอกสมัยนู้น คือทุกคนมีความตั้งใจ แต่ว่าสรพงศ์มีความตั้งใจอย่างสูงตั้งแต่แรกแล้ว

 

พ่อผมเป็นคนตั้งชื่อให้เขา คือ สร ก็คือ อนุสรณ์ พงศ์ก็คือพี่จี๊ด แล้วชาตรีก็คือชื่อผม ชาตรีจริงๆ แล้วนามสกุลนี้มีแค่สองคนเท่านั้นคือ สรพงศ์ ชาตรี และยมนา ชาตรี ไม่ทราบว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนหรือตายไปแล้ว เพราะฉะนั้นตระกูลชาตรีรู้สึกจะหมดไปแล้ว สมัยนู้นส่วนใหญ่เขาจะเปลี่ยนชื่อ จะเอาชื่อเดิมมันก็ไม่ค่อยเพราะเท่าไหร่ เพราะคุณสรพงศ์ชื่อ ชิ้น จะเรียกพระเอกชื่อชิ้นมันก็ลำบากเหมือนกัน

 

สำหรับอาการป่วยของ สรพงษ์ ชาตรี ก็เป็นปีแล้ว แต่ก็มาๆ ไปๆ ตรงข้างปอดก็ตัดทิ้งไปนานแล้ว แต่เป็นคนที่หัวใจเขาเข้มแข็งมากเลย ความดันก็สูงแต่หัวใจยังเต้นอยู่ นี่คือตอนที่เขาตาย ผมอยู่กับเขาตลอดเลย ตั้งแต่ต้นเลย มือจับหัวจนกระทั่งวิญญาณเขาออกจากร่าง