ผงะ ! ปัญหาใหม่จากโควิด หมอยงชี้วัคซีนกำลังจะเกินความต้องการ

รายงานข่าวระบุว่า ศ.นพ.ยง  ภู่วรวรรณ (หมอยง) หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสเฟซบุ๊ก (Yong Poovorawan) โดยมีข้อความว่า 
โควิด-19 วัคซีน วัคซีนกำลังจะเกินความต้องการ
หมอยงระบุว่า กำลังการผลิตของวัคซีน ในอินเดีย Covishield หรือวัคซีนที่บ้านเราเรียกว่า AstraZeneca สามารถผลิตได้เดือนละ  250 ล้านโดส ขณะนี้ไม่มีคำสั่งเข้ามา และกำลังจะลดการผลิต ลงครึ่งหนึ่ง (https://www.bbc.com/news/world-asia-india-59574878) ปัญหาของวัคซีน กำลังจะเกินความต้องการ 
 

ปัญหาใหญ่เรื่องหนึ่งคือเรื่องของการขนส่ง ห่วงโซ่ความเย็น และการจัดเก็บวัคซีนจำนวนมาก โดยเฉพาะวัคซีนที่จัดเก็บยากแบบ mRNA และมีอายุสั้น ประเทศกำลังพัฒนา และประเทศยากจนในแอฟริกา จะมีปัญหาเรื่องการจัดเก็บ ทำให้ COVAX ก็ลดปริมาณการสั่งลง
สำหรับประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน ในระยะแรกวัคซีนขาดแคลน เพราะทุกคนแย่งกันหมด ความต้องการฉีดวัคซีนก็มีเป็นปริมาณมาก ณ เวลาปัจจุบัน ขณะนี้วัคซีนมีเป็นจำนวนมาก มีเหลืออยู่เป็น 10 ล้านโดส การจัดเก็บ และบริหารวัคซีน จะทำได้ยากลำบากขึ้น โดยเฉพาะวัคซีนที่มีอายุสั้น ความสูญเสียของวัคซีนจะเกิดขึ้น 

การฉีดวัคซีนในระยะหลังนี้ เพิ่มขึ้นช้ามาก เดิมตั้งใจไว้ว่าจะให้ครบ 100 ล้านโดส ตั้งแต่สิ้นเดือนพฤศจิกายน ก็เลื่อนมาเป็นสิ้นเดือนธันวาคม ปริมาณการฉีดที่น้อยลง และการนำเข้ายังมีปริมาณที่สูง อัตราการเหลือเก็บจะมากขึ้น และจะเป็นภาระในการจัดเก็บอย่างมาก ในระบบความเย็น รวมทั้งอัตราการสูญเสียของวัคซีน 
 

ในระดับทั่วโลกก็เหมือนกัน ขณะนี้ได้ฉีดไปแล้วมากกว่า 8000 ล้านโดส และมีอัตราการฉีด 30 ล้าน dose ต่อวัน ทั่วโลกมีประชากรทั้งเด็กและผู้ใหญ่  7000 ล้านคน  อัตราการผลิตสูงกว่าอัตราการใช้  วัคซีนก็จะเริ่มล้นตลาด เช่นเดียวกับวัคซีนของอินเดีย 
การขาดแคลนของวัคซีนไม่ได้เป็นปัญหาในปัจจุบัน ปัญหาอยู่ที่ว่าทำอย่างไรที่จะให้คนที่ยังไม่ได้ฉีดได้รับบริการ การฉีดวัคซีนเป็นการสมัครใจ ในผู้ไม่ประสงค์จะฉีดก็ไม่สามารถที่จะบังคับได้
ตลาดของวัคซีนกำลังจะเป็นของผู้บริโภค
สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 (covid-19) ในประเทศไทยนั้น "ฐานเศรษฐกิจ" ติดตามข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขพบว่า ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.-9 ธ.ค. 64 มีการฉีดวัคซีนสะสมแล้วทั้งหมด 96,821,760 โดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 จำนวน 49,733,993 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 43,075,123 ราย และเข็มที่ 3 จำนวน 4,012,644 ราย