ถอนงานวิจัยฟ้าทะลายโจรชั่วคราว หมอเฉลิมชัยชี้พบข้อผิดพลาดทางตัวเลข

09 ส.ค. 2564 | 09:22 น.
อัปเดตล่าสุด :09 ส.ค. 2564 | 16:22 น.

หมอเฉลิมชัยเผยนักวิจัยไทยถอนงานวิจัยฟ้าทะลายโจรกลับมาเป็นการชั่วคราว หลังพบข้อผิดพลาดทางตัวเลขก่อนจะเสนอกลับเข้าไปใหม่เพื่อตีพิมวารสารนานาชาติ

รายงานข่าวระบุว่า น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยมีข้อความว่า  
นักวิจัยไทยขอถอนงานวิจัยฟ้าทะลายโจรกลับมาเป็นการชั่วคราว เนื่องจากพบข้อผิดพลาดเรื่องตัวเลขเล็กน้อย และจะเสนอกลับเข้าไปใหม่
จากกรณีที่ยังไม่มียาตัวใดเลย ที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการว่า สามารถฆ่าไวรัสโคโรนา หรือรักษาโรคโควิด-19 ได้โดยตรง
จึงมีการทดลองและเก็บข้อมูลการใช้ยาชนิดต่างๆ ที่คาดว่าจะใช้รักษาโควิดได้ อาทิเช่น ฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) เรมเดสซิเวียร์ (Remdesivir) และสมุนไพรไทยฟ้าทะลายโจร
กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ทดลองใช้สารสกัดจากฟ้าทะลายโจร ในผู้ป่วยโควิดที่มีอาการเล็กน้อย และมีแนวโน้มที่ได้ผลดี โดยเฉพาะลดการพัฒนาของโรคไม่ให้เดินหน้ารุนแรงขึ้นจนมีปอดอักเสบ
โดยทั่วไป การใช้สมุนไพรไทย จะมีงานวิจัยที่รองรับอย่างเป็นมาตรฐานและได้รับการตีพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติค่อนข้างน้อย แต่ในครั้งนี้ ทีมนักวิจัยจากกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำการทดลองการใช้สารสกัดฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยโควิด
และเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ จนสามารถสรุปงานวิจัยเบื้องต้น และส่งไปรอตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติต่อไป
แต่แล้ว ก็มีข่าวออกมาว่า ทีมนักวิจัยมีความจำเป็นที่จะต้องขอถอนงานวิจัยที่รอการตีพิมพ์ดังกล่าวกลับออกมาก่อน เนื่องจากพบจุดผิดพลาด เรื่องสถิติตัวเลขหนึ่งจุด ส่วนเรื่องอื่นๆในงานวิจัยนี้ คงเป็นเหมือนเดิมทุกประการ และหลังจากปรับปรุงแล้ว จะได้ส่งกลับเข้าไปใหม่ เพื่อรอการตีพิมพ์ต่อไป
ลองมาติดตามงานวิจัยเรื่องนี้กันดู
เป็นการทดลองแบบสุ่มโดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบ ( Randomized Controlled Trial: RCT ) ใช้สารสกัดฟ้าทะลายโจร (APE : Andrographis paniculata extract) ในผู้ป่วย
โควิดอาการเล็กน้อย อายุ 18-60 ปีโดยยืนยันการตรวจพบเชื้อไวรัสด้วยวิธีมาตรฐาน RT-PCR
ทำการแบ่งกลุ่มอาสาสมัครเป็น 2 กลุ่ม คือ ผู้ใช้สารสกัดฟ้าทะลายโจร (29 ราย) และไม่ใช้ยาฟ้าทะลายโจรหรือใช้ยาหลอก (28 ราย)
โดยขนาดที่ใช้สารสกัดจากฟ้าทะลายโจรคือ  180 มิลลิกรัมต่อวัน จำนวน 5 วันต่อเนื่องกัน โดยรับประทานครั้งละ 60 มิลลิกรัม วันละ 3 เวลา

ทำการตรวจเอกซเรย์ปอด ตรวจเลือดในวันที่ 1,3,5 โดยดูผลสำคัญสามประการได้แก่
1.ปอดอักเสบ
2.เชื้อไวรัสในวันที่ห้า
3.ระดับการอักเสบ (CRP)

ถอนงานวิจัยฟ้าทะลายโจรชั่วคราว
ผลการทดลองพบว่า
1.ปอดอักเสบ
ไม่พบอาการปอดอักเสบเลยในกลุ่มที่ได้รับสารสกัดฟ้าทะลายโจร 29 ราย  แต่พบในกลุ่มยาหลอก 3 รายจาก 28 ราย คิดเป็น 10.7% เมื่อคำนวนทางสถิติแล้ว ยังไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ( p = 0.112) ตรงนี้คือจุดผิดพลาดในการรายงานครั้งแรก ว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ (p = 0.03)
2.ตรวจไวรัสคงอยู่ในวันที่ 5 
กลุ่มที่ได้รับสารสกัดฟ้าทะลายโจรพบ 10 รายจาก 29 ราย (34.5%) ส่วนในกลุ่มยาหลอกพบไวรัส 16 รายจาก 28 (57.1%)
3.ผู้ที่มีปอดอักเสบ 3 รายในกลุ่มที่ได้รับยาหลอก มีการอักเสบเพิ่มขึ้น
4.การใช้สารสกัดฟ้าทะลายโจรดังกล่าว ไม่มีผลข้างเคียงต่อตับ ไต และระบบเลือด
ผลการทดลองสรุปว่า การศึกษาแสดงให้เห็นถึงศักยภาพหรือแนวโน้ม ที่สารสกัดดังกล่าวจะมีประสิทธิผล แต่เนื่องจากจำนวนตัวอย่างยังมีน้อยเกินไป ไม่เพียงพอจะทำให้เกิดความแตกต่างทางสถิติ และจำเป็นจะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป ( It has high potential of efficacy , but the sample size is too small to detect the statistical significance difference by p-value < 0.05 )
 

เรื่องราวของการถอนงานวิจัยออกมาครั้งนี้ พอจะสรุปได้ดังนี้
1.ทีมนักวิจัยของไทย เป็นผู้ตรวจพบความผิดพลาดของสถิติหนึ่งจุดดังกล่าว และขอถอนงานวิจัยออกมาเอง ไม่ได้ถูกปฏิเสธหรือถูกส่งคืนกลับมาจากวารสารการแพทย์
2.ผลการวิจัย เนื้อหาเกือบทั้งหมดยังคงเป็นไปตามรายงานฉบับแรกที่ถอนกลับมา
3.เมื่อได้ปรับปรุงตัวเลขดังกล่าวให้ถูกต้องเรียบร้อยแล้ว ก็จะส่งกลับไปตีพิมพ์ที่วารสารเดิมต่อไป
นั่นแปลว่า สารสกัดจากฟ้าทะลายโจรของไทย ยังมีแนวโน้มที่ดี ที่จะได้ผลในการป้องกันผู้ติดโควิดไม่ให้เกิดปอดอักเสบ และสามารถใช้งานต่อไปได้
สำหรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 (Covid-19)ในประเทศไทยที่กำลังรักษาตัวอยู่นั้น "ฐานเศรษฐกิจ" ติดตามรายงานจากศูนย์ข้อมูลโควิด-19 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข วันที่ 8 สิงหาคม 64 พบว่า มีจำนวน 214,786 ราย โดยอยู่ในโรงพยาบาล 73,966 ราย อยู่ในโรงพยาบาลสนามและอื่นๆ 140,820 ราย เป็นผู้ป่วยอาการหนัก 5,157 ราย และใส่เครื่องช่วยหายใจ 1,070 ราย