กรมการแพทย์ หนุน ตรวจโควิด-ผลบวกติดเชื้อ ควรได้รับ ยาฟาวิพิราเวียร์ ทันที

07 ส.ค. 2564 | 16:21 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ส.ค. 2564 | 23:36 น.

กรมการแพทย์ แจ้ง หน่วยงานด้านสาธารณสุข ถึง แนวทางดูแลผู้ติดเชื้อโควิด -19 ที่อยู่ระหว่างรอเข้ารับการรักษา หรือทำ Home isolation ควรได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ ตามเกณฑ์ทันที ย้ำ สถานะผู้ป่วย ไม่ควรเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงยา

7 สิงหาคม 2564 - นายสมศักดิ์ อรรมศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ลงนามในหนังสือ เรื่อง การดูแลผู้ติดเชื้อโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่อยู่ระหว่างรอเข้ารับการรักษา จั่วหัวถึง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด/ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข/โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม/โรงพยาบาลสังกัดกรุงเทพมหานคร/โรงพยาบาลสังกัด กระทรวงกลาโหม/โรงพยาบาลเอกชน และเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ว่า...

จากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่มีการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส ทำให้เกิดการกระจายเชื้ออย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อมีจำนวนมากและกระทบต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ ทั้งด้านการควบคุมโรคและการเข้าถึงระบบการรักษา ซึ่งผู้ติดเชื้อจำนวนหนึ่งอยู่ระหว่างรอเข้าสู่กระบวนการดูแล รักษาในสถานที่ที่เหมาะสม ได้แก่ Home isolation (HI) Community isolation (C) โรงพยาบาลสนาม หอผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) และสถานบริการสุขภาพระดับต่างๆ โดยแนวทางเวชปฏิบัติการวินิจฉัย ดูแลรักษาและป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) 

 

สำหรับแพทย์และบุคลากร สาธารณสุข (ฉบับปรับปรุงวันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๖๔) แนะนำให้ผู้ติดเชื้อโคโรนา 2019 ที่มีอาการไม่รุนแรงหรือ ไม่มีอาการแต่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรงให้ได้รับยา favipiravir ให้เร็วที่สุด นั้น กรมการแพทย์ ขอแจ้งให้ทราบว่าผู้ติดเชื้อเข้าข่าย (Propable case) และผู้ติดเชื้อยืนยัน (Confirmed case) ที่อยู่ระหว่างรอเข้ารับการรักษาควรได้รับยา favipiravir ทันทีตามแนวทางดังกล่าว เพื่อให้ การรักษาเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ติดเชื้อโคโรนา 2019 

 

ทั้งนี้ สถานะการรอเข้ารับการรักษาของผู้ติดเชื้อไม่ควรเป็น อุปสรรคต่อการเข้าถึงยา favipiravir จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย จะเป็นพระคุณ 

กรมการแพทย์ หนุน ตรวจโควิด-ผลบวกติดเชื้อ ควรได้รับ ยาฟาวิพิราเวียร์  ทันที

ที่มา : กรมการแพทย์