เปิดผลโพลล์ 75.2% ประชาชนต้องการ “ฉีดวัคซีนโควิด” ภูเก็ตพร้อมมากที่สุด

08 มิ.ย. 2564 | 17:39 น.

รองโฆษกรัฐบาล เปิดเผยผลโพลล์ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ประชาชนกว่า 75.2% ต้องการ “ฉีดวัคซีนโควิด” โดยมีจังหวัดภูเก็ตมีความพร้อมมากที่สุด

วันที่ 8 มิ.ย. 64 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.)รับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(โควิด-19) เกี่ยวกับกรณีของวัคซีนโควิด โดยทางสำนักงานสถิติแห่งชาติได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนโดยการสัมภาษณ์สมาชิกในครัวเรือนที่มีอายุตั้งแต่ 18ปีขึ้นไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ จำนวนตัวอย่าง 46,600 คน  ระหว่างวันที่ 17-22 พฤษภาคม 2564  พบว่า

  • 75.2% ประชาชนต้องการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
  • 47.7% ผู้ต้องการฉีดและพร้อมที่จะฉีดวัคซีน
  • 27.5% ผู้ต้องการฉีดแต่ยังไม่พร้อม
  • 19.3 % ไม่ต้องการฉีดวัคซีน
  • 5.5% ฉีดวัคซีนแล้ว

โดยผู้ที่ไม่ต้องการฉีดวัคซีนโควิดให้เหตุผลว่า

  • 16.4% กลัวผลข้างเคียง
  • 4.9% ไม่เชื่อมั่นว่าวัคซีนจะสามารถป้องกันได้
  • 4.6% มีข้อจำกัดทางด้านร่างกาย เช่น พิการ มีโรคประจำตัว ตั้งครรภ์
  • 3.6% สามารถป้องกันตัวเองได้
  • 3.2% ไม่มีข้อมูลหรือข้อมูลไม่เพียงพอสำหรับการตัดสินใจ

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

สำหรับผู้ที่ต้องการฉีดวัคซีนระบุว่า วัคซีนที่ต้องการมากที่สุดคือ

  • 54.6% วัคซีนที่รัฐบาลจัดหาให้
  • 12.5% วัคซีนยี่ห้อไฟเซอร์
  • 3% วัคซีนโมเดอร์นา
  • 2.5% วัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน
  • 0.9% วัคซีนโนวาแวกซ์ 

สำหรับ 6 จังหวัดที่มีผู้ที่ฉีดวัคซีนไปแล้วและผู้ที่พร้อมจะฉีดสูงกว่า 70% ได้แก่

  • ภูเก็ต 80.2% 
  • ตรัง 80%
  • ระนอง 78.8%
  • บุรีรัมย์ 73.3%
  • ชลบุรี 71.8%
  • นนทบุรี 71.2%  

เมื่อพิจารณาตามกลุ่มอายุพบว่า

  • ผู้ที่มีอายุ 18-29ปี ไม่ต้องการฉีดวัคซีนและไม่พร้อมที่จะฉีดมีสัดส่วนสูงกว่ากลุ่มอายุ 30 ปีขึ้นไป
  • ขณะที่นักเรียน นักศึกษา ผู้ว่างงาน ระบุว่าไม่ต้องการฉีดวัคซีนหรือไม่พร้อมฉีดสูงกว่ากลุ่มอาชีพอื่น

สำหรับความเชื่อมั่นต่อคุณภาพของวัคซีนนั้น

  • 54.7 % ไม่เชื่อมั่น
  • 45.3% มีความเชื่อมั่นต่อคุณภาพวัคซีนที่รัฐบาลให้บริการกับประชาชน
  • 41.3% กลัวผลข้างเคียง
  • 7% วัคซีนที่รัฐบาลจัดหาให้ยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าวัคซีนที่จะเลือกใช้เอง
  • 5.7% ได้รับข้อมูลข่าวสารของวัคซีนที่มีความขัดแย้งกัน 

เมื่อพิจารณาเป็นรายจังหวัดพบว่า จังหวัดที่ไม่เชื่อมั่นต่อคุณภาพของวัคซีนสูงกว่า 70% ได้แก่

  • กาฬสินธุ์ 80.5%
  • ปัตตานี 78.5%
  • นราธิวาส 74%
  • เชียงใหม่ 72.2%
  • ขอนแก่น 71.3%
  • สตูล 70.4%

และพบว่าประชาชน 56.6% ระบุว่า การที่รัฐให้เงินชดเชยเป็นหลักประกันการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากการฉีดวัคซีนมีผลต่อการตัดสินใจฉีดวัคซีน

และประชาชน 80.9% เห็นว่าควรเพิ่มสถานที่ให้บริการฉีดวัคซีน โดยเห็นว่าสถานที่ที่เหมาะสม 5อันดับแรกได้แก่

  • 52.4% สถานีอนามัย/โรงพยาบาลประจำตำบล
  • 18.2 % จัดรถMobile ลงชุมชน
  • 9.8% โรงเรียน อาคารอเนกประสงค์ สนามกีฬา วัด
  • 9.6% ที่ทำการกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน
  • 6.9% สถานที่ราชการ

นอกจากนี้ประชาชนยังเห็นว่า

  • 48.3% รัฐบาลควรสร้างความเชื่อมั่นในการฉีดวัคซีนและลดความสับสนของข่าวสารดังนี้ ให้ผู้มีความรู้ ประสบการณ์ หรือผู้มีวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง เป็นผู้นำเสนอประโชน์ของวัคซีนเพื่อสร้างความมั่นใจอย่างต่อเนื่อง
  • 20.4% ให้หน่วยงานรับผิดชอบตรวจสอบข้อมูลและสกัดกั้นข่าวเท็จที่เผยแพร่จากสื่อสาธารณะ หรือโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว
  • 18.8% ให้หน่วยงานเดียวเป็นผู้รับผิดชอบให้ข้อมูลข่าวสาร

และยังพบด้วยว่าประชาชน90.5% ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เรื่องที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ

  • รายได้ที่ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย 49.3% 
  • เรื่องที่ต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือมากที่สุดได้แก่ ช่วยเหลือค่าครองชีพ 67.8%

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :