เปิด 5 ข่าวลือ ป่วน "วัคซีนโควิด" ทั่วโลก เช็กให้ชัวร์ก่อนแชร์ 

19 เม.ย. 2564 | 19:05 น.
3.5 k

"สุภิญญา กลางณรงค์" ผู้ร่วมก่อตั้ง cofact เปิดเผย 5 ข่าวลือ ป่วน "วัคซีนโควิด" ทั่วโลก ที่ต้องเช็กให้ชัวร์ก่อนแชร์ 

ผ่านมาแล้ว 1 ปีเศษกับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งขณะนี้คนทั้งโลกกำลังฝากความหวังไว้กับ “วัคซีนโควิด” ในการยุติฝันร้ายทั้งทางสุขภาพและเศรษฐกิจ หากประชากรส่วนใหญ่ได้รับการฉีดวัคซีน ก็จะเกิดภูมิกันหมู่ (Herd Immunity) ทำให้การระบาดของโรคเป็นไปได้ยากขึ้น อีกทั้งวัคซีนยังช่วยลดอาการรุนแรงของโรคหากเกิดติดเชื้อขึ้นมา แต่อุปสรรคอย่างหนึ่งของแผนการฉีดวัคซีนวงกว้างคือ “ข่าวลือข่าวลวง (Misinformation)” ที่ทำให้เข้าใจผิดและสร้างความตื่นตระหนกจนผู้คนรู้สึกลังเลที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีน 

นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค ประเทศไทย (cofact.org) ได้เปิดเผย 5 ข่าวลือข่าวลวงที่เกี่ยวข้องกับผลข้างเคียงหรือสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ของวัคซีนโควิด-19 ที่กำลังถูกพูดถึงในประเทศไทยและต่างประเทศ ได้แก่

 

1.วัคซีนฝังไมโครชิป: เป็นเรื่องที่ถูกลือกันมากที่สุดในสังคมตะวันตก ตั้งแต่ไวรัสโควิด-19 เริ่มระบาดใหม่ๆ โดยเชื่อว่าเป็นแผนการของทุนยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีที่ต้องการปูทางไปสู่การฝังไมโครชิปประชากรทั่วโลก อาทิ ข่าวจาก BBC รายงานว่าผลการสำรวจของ ยูกอฟ (YouGov) บริษัทรับทำโพลชื่อดังของอังกฤษ ที่สอบถามความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างชาวอเมริกันจำนวน 1,640 คน แล้วสรุปผลได้ว่า ชาวอเมริกันร้อยละ 28 เชื่อเรื่องแผนการฉีดวัคซีนเพื่อฝังไมโครชิป เป็นต้น

ข่าวนี้เกิดขึ้นเมื่อ บิลล์ เกตส์ (Bill Gates) เจ้าพ่อไอทีผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟต์ ออกมาพูดเปรยๆ ไว้เมื่อเดือน มี.ค. 2563 ว่าในอนาคตจะมีการออกใบรับรองดิจิทัลสำหรับผู้ที่เคยป่วยจากไวรัสโควิดและได้รับการรักษาจนหายแล้วไปจนถึงผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน ก่อนจะถูกขยายผลลือกันเป็นตุเป็นตะ 

ข่าวลือเรื่องวัคซีนโควิดฝังไมโครชิปกลับมาพูดถึงอีกครั้งในช่วงปลายปี 2563 เมื่อสหรัฐฯ เตรียมการฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยใช้วัคซีนที่พัฒนาโดยไฟเซอร์ (Pfizer) ทำให้ทางไฟเซอร์ต้องชี้แจงส่วนผสมของวัคซีนซึ่งมีอยู่ประมาณ 10 ชนิด ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ใช้ในวัคซีนหลายๆ ชนิด แต่ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับไมโครชิปแต่อย่างใด เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2564 กระทรวงสาธารณสุขของออสเตรเลีย ย้ำอีกครั้งว่า ไม่พบการติดตั้งซอฟต์แวร์หรือไมโครชิปในวัคซีนโควิด-19 ชนิดใดๆ ที่ใช้กันอยู่ในขณะนี้ สรุป จากการตรวจสอบทางบีบีซี นำเสนอว่าข่าวลือนี้ไม่เป็นความจริง 

2.วัคซีนเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอมนุษย์: ข่าวลือนี้ถูกพูดถึงกันมากเป็นพิเศษสำหรับวัคซีนโควิด-19 ที่พัฒนาขึ้นโดยใช้เทคโนโลยี 2 ชนิดคือ mRNA เช่น วัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นา (Moderna) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่นำรหัสพันธุกรรมส่วนเล็กๆ ของไวรัสมาใช้กระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน กับ Viral Vector เช่น วัคซีนของแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) ใช้วิธีฝากสารพันธุกรรมของไวรัสโควิด-19 ไปกับไวรัสชนิดอื่น แต่เมื่อเข้าไปในร่างกายแล้วจะเกิดการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสโควิด-19 ด้วย

การกล่าวถึงพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ (DNA) ในกระบวนการผลิตและการทำงานของวัคซีน นำไปสู่ความกังวลว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนจะมีผลข้างเคียงคือรหัสพันธุกรรมของตนจะเปลี่ยนไปด้วย ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) ชี้แจงเรื่องนี้ว่า วัคซีนที่ใช้เทคโนโลยีทั้ง 2 ชนิด แม้จะส่งสารพันธุกรรมเข้าไปในร่างกายมนุษย์ แต่สารนั้นจะไม่เข้าไปถึงนิวเคลียสอันเป็นที่เก็บดีเอ็นเอ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อดีเอ็นเอแต่อย่างใด ทางสำนักข่าวบีบีซีและรอยเตอร์ตรวจสอบแล้วพบว่าข่าววัคซีนเปลี่ยนดีเอ็นเอนี้ไม่เป็นความจริง             

3.วัคซีนทำให้คนเป็นหมัน: การมีลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจเป็นเรื่องสำคัญของหลายๆ ครอบครัว สามี-ภรรยาหลายคู่ถึงกับเกิดความเครียดเมื่อมีข่าวลือว่าการฉีดวัคซีนวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีผู้กังวลและปฏิเสธการรับวัคซีน

กระทรวงสาธารณสุขของออสเตรเลีย โดยหน่วยงานบริหารสินค้าด้านอายุรเวท (Therapeutic Goods Administration-TGA) ระบุว่า ข่าวลือนี้อ้างถึงโปรตีนซินซิติน-1 (Syncytin-1) ที่ช่วยมีการพัฒนารก ซึ่งมีอยู่ในหนามแหลมของเชื้อโควิด-19 เช่นกัน แต่ยืนยันยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่บ่งชี้ว่าการได้รับวัคซีนโควิด-19 หรือแม้แต่วัคซีนป้องกันโรคอื่นๆส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์หรือการพัฒนาของรกแต่อย่างใด

ทางศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย บมจ.อสมท ได้ตรวจสอบจากแหล่งข้อมูล #SureVac โดย Newtral.es ว่าข่าวที่ "แนะท่านชายนำเชื้ออสุจิไปแช่แข็งก่อนรับวัคซีนโควิด” นั้นไม่เป็นความจริงด้วยเช่นกัน  

4.วัคซีนช่วยเพิ่มขนาดอวัยวะเพศชาย: ข่าวนี้อาจจะแปลกกว่าข่าวลืออื่นๆที่ไม่ได้สร้างความตื่นตระหนกในเชิงหวาดกลัว แต่ก็เป็นข่าวปลอมที่ต้องชี้แจงว่าไม่เป็นความจริง โดย รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยเรื่องนี้เมื่อต้นเดือน ม.ค. 64 กรณีมีการส่งต่อภาพที่อ้างว่าเป็นข่าวจากสำนักข่าว CNN สหรัฐอเมริกา ที่พาดหัวข่าวว่า แพทย์สนับสนุนให้ฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่อวัยวะเพศชาย เพราะจะทำให้วัคซีนกระจายไปทั่วร่างกายเร็วขึ้น

หนักไปกว่านั้นยังมีการแชร์ไปถึงขนาดว่า การฉีดวัคซีนโควิด-19 จะเพิ่มขนาดอวัยวะเพศชายให้ยาวขึ้นได้ถึง 3 นิ้ว ทั้ง 2 ข่าวอ้างงานวิจัย แต่จากการตรวจสอบพบว่าเป็นข่าวปลอมทั้งหมด ตั้งแต่งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่อ้างกลุ่มตัวอย่างทำการศึกษา 1,500 คน ก็ไม่มีอยู่จริง หรืออ้างวารสารวิชาการ The New England Journal of Merdecine ที่เป็นวารสารที่ไม่มีอยู่จริง

โดยวารสารที่มีจริงคือ The New England Journal of Medicine ซึ่งก็ไม่เคยตีพิมพ์บทความทำนองนี้แต่อย่างใด แม้กระทั่งสำนักข่าว CNN ก็ไม่เคยเสนอข่าวตามภาพที่นำมาอ้างกันด้วย เช่นเดียวกับตรวจสอบจากสำนักข่าว AFP และ อีกหลายสำนักสรุปตรงกันข่าวที่อ้าง CNN นี้เป็นข่าวลวง 

5. วัคซีนมีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ต้องห้ามตามหลักศาสนา: ในบางศาสนานั้นมีข้อห้ามการบริโภคอาหารที่มีส่วนผสมของสัตว์บางชนิด เช่น ศาสนาฮินดูห้ามบริโภคเนื้อวัว ศาสนาอิสลามห้ามบริโภคเนื้อหมู ทำให้เมื่อมีการเผยแพร่ข่าวลือผิดๆ ว่าวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ทำจากส่วนประกอบของสัตว์ดังกล่าว บรรดาศาสนิกชนจึงไม่สบายใจและนำไปสู่การปฏิเสธการรับวัคซีนในที่สุด

ที่ประเทศอังกฤษ ช่วงต้นปี 2564 ดร. ฮาร์พรีท สูท (Harpreet Sood) หัวหน้าหน่วยต่อต้านข่าวปลอม สำนักงานสุขภาพแห่งชาติ (NHS) ยอมรับว่าทีมงานต่อต้านข่าวปลอมทำงานกันอย่างยากลำบากด้วยข้อจำกัดด้านภาษาและวัฒนธรรม จากกรณีพบผู้มีเชื้อสายเอเชียใต้ (ภูมิภาคที่ประกอบด้วยประเทศอินเดีย ปากีสถาน อัฟกานิสถาน บังกลาเทศ ศรีลังกา เนปาล ภูฏาน และมัลดีฟส์) ที่อาศัยอยู่ในอังกฤษมีแนวโน้มปฏิเสธการรับวัคซีนโควิด-19 โดยต้องทำงานร่วมกับผู้นำศาสนา อธิบายให้ศาสนิกชนเหล่านี้มั่นใจว่าวัคซีนโควิด-19 ไม่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนผสม ทาง Newsweek  ก็มีการตรวจสอบว่าเป็นข่าวลวงเช่นกัน โดยเฉพาะในวัคซีนของไฟเซอร์ ส่วนในประเทศอินโดนีเซียที่ประชากรนับถือศาสนาอิสลามส่วนใหญ่ก็เริ่มต้นฉีดวัคซีนไปแล้ว 

นางสาวสุภิญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า  "ยอมรับว่าข้อมูลข่าวสารเรื่องวัคซีนนั้นไม่นิ่งและอลหม่านมากจึงทำให้คนกลัว ไม่ใช่แค่ในประเทศแต่ทั่วโลก มีทั้งมิติวิทยาศาสตร์และการเมืองปนกัน เรื่องวัคซีนยังเป็นนโยบายสาธารณะด้วย ดังนั้นภาครัฐต้องเร่งตอบคำถามจากสังคมให้ชัดเจน เช่น ทำไมเราได้รับฉีดวัคซีนช้า มีตัวเลือกอื่นหรือไม่ การบริหารจัดการโปร่งใสหรือเปล่า และ การเข้าถึงวัคซีนเป็นสิทธิ์ทั่วถึงเป็นธรรม รวมถึงการให้ข้อมูลที่สร้างความมั่นใจในความปลอดภัย เป็นต้น ซึ่งภาครัฐต้องสร้างความเชื่อมั่น ส่วนประชาชนควรแยกแยะว่าอะไรคือข้อเท็จจริง อะไรคือความคิดเห็นหรือความเชื่อ จะได้ไม่สับสนและมีความมั่นใจมากขึ้น ถ้าไม่แน่ใจอะไร ส่งมาให้สื่อมวลชน เช่น สำนักข่าว AFP ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สมาคมนักข่าวฯ และ โคแฟคเพื่อช่วยตรวจสอบได้เช่นกัน" 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :