สิงห์สยามโพลเผย "เด็กลังเลเข้าร่วมม็อบรีเด็ม-ฉีดวัคซีน

05 มี.ค. 2564 | 12:54 น.

สิงห์สยามโพล คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยามผลสำรวจความคิดเห็น “สถานการณ์ โควิด-19 ระลอกที่ 2 กับการเมือง 2564”เด็กลังเลเข้าร่วมม็อบ-ฉีดวัคซีน"

ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “สิงห์สยามโพล”  คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.จิดาภา ถิรศิริกุล คณบดีคณะรัฐศาสตร์ แถลงผลสำรวจความคิดเห็นของนักเรียนในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และเขตภาคกลาง  เรื่อง สถานการณ์ โควิด-19 ระลอกที่ 2 กับการเมือง 2564  โดยทำการสำรวจข้อมูลระหว่างวันที่ 2 – 20 กุมภาพันธ์ 2564 ด้วยแบบสอบถาม จากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตกรุงเทพ ปริมณฑล และเขตภาคกลางที่มีอายุ ต่ำกว่า 18 ปี รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,328 หน่วยตัวอย่าง โดยใช้การสุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบหลายขั้นตอน (Multi stage Random Sampling) โดยเบื้องต้นใช้วิธีการแบบง่าย (Simple Random Sampling) โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 95.0 เพื่อเลือกพื้นที่ในการเก็บข้อมูลโดยแบ่งเป็น โรงเรียนของรัฐขนาดเล็ก ขนาดกลาง  ขนาดใหญ่ และใหญ่พิเศษ และดำเนินการเก็บข้อมูลโดยการสุ่มแบบบังเอิญ (Accidental Sampling) เพื่อเก็บข้อมูลจากนักเรียนในโรงเรียนทั้ง 4  กลุ่ม ผลการสำรวจ พบว่า 
 

1. นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายว่ามีความสุขต่อการศึกษาในรูปแบบ online ช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกที่ 2 อยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 42.5) รองลงมามีความสุขน้อย(ร้อยละ 33.4)  ไม่พอใจ(ร้อยละ 14.5) และสุดท้ายมีความสุขระดับมาก (ร้อยละ 9.6)

 2.ด้านความมั่นใจในการศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกที่ 2 ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 53.9) รองลงมาคือระดับน้อย (ร้อยละ 27.1) ระดับมาก (ร้อยละ 14.8) และสุดท้ายไม่ศึกษาต่อ (ร้อยละ 4.2)

3.ด้านความต้องการประกอบอาชีพในอนาคต หากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยยังไม่คลี่คลาย คือ ธุรกิจส่วนตัว (ร้อยละ 37.5) รองลงมาคือข้าราชการ (ร้อยละ 28.7) อาชีพอิสระ (ร้อยละ 19.0) รัฐวิสาหกิจ (ร้อยละ 4.2) บริษัทเอกชน(ร้อยละ 9.7) และเกษตรกร(ร้อยละ .9) 

4.ด้านความพึงพอใจในการจัดการและมาตราต่าง ๆ ของรัฐช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกที่ 2 อยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 47.3) รองลงมาคือระดับน้อย (ร้อยละ 31.0) ระดับไม่พอใจ  (ร้อยละ 17.2) และระดับพอใจมาก(ร้อยละ 4.5)

5.ด้านความสนใจติดตามข้อมูลข่าวสารด้านโรคระบาดมากที่สุดช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกที่ 2 (ร้อยละ 35.3) รองลงมาคือข่าวบันเทิง(ร้อยละ 32.0) ข่าวการเมือง(ร้อยละ 19.6)  และข่าวอื่นๆ (ร้อยละ 13.0)
    
6.ด้านความเชื่อมั่นในการเข้าการร่วมชุมนุมทางการเมืองช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกที่ 2 อยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 52.4) รองลงมาคือระดับน้อย (ร้อยละ 21.1) ระดับมาก(ร้อยละ 17.2) และไม่เข้าร่วม(ร้อยละ 9.3)

7.เห็นด้วยกับการชุมนุมทางการเมืองช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกที่ 2 ในระบบออนไลน์(Facebook, twitter, Line, IG) ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 48.5) รองลงมาคือระดับมาก  (ร้อยละ 33.1) ระดับน้อย (ร้อยละ 14.2) และ ไม่เข้าร่วม(ร้อยละ 4.2)

 8.หากรัฐบาลมีการนำเข้าวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มีความประสงค์ที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19จากรัฐบาลในระดับปานกลาง(ร้อยละ 45.5) รองลงมาคือระดับมาก(ร้อยละ 34.9) ระดับน้อย (ร้อยละ 14.2) และไม่เข้าร่วม(ร้อยละ 5.4)    

เมื่อพิจารณาข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 59.7) รองลงมาคือ เพศชาย (ร้อยละ 31.8) และเป็นกลุ่มเพศ LGBTQ (ร้อยละ 8.5) ส่วนใหญ่กำลังศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 (ร้อยละ 53.0) รองลงมาคือมัธยมศึกษาปีที่ 4 (ร้อยละ 24.9) และมัธยมศึกษาปีที่ 5 (ร้อยละ 22.1) โดยส่วนใหญ่ได้รับค่าขนมไปโรงเรียนมากกว่า101 บาท (ร้อยละ 57.0) และได้รับค่าขนมไม่เกิน 100 บาท (ร้อยละ 43.0)
ข้อค้นพบจากการสำรวจ คือ ประการแรก ร้อยละ 42.5 เยาวชนมีการปรับตัวการเรียนออนไลน์ตามสถานการณ์ได้ดี แต่ไม่มีความสุขในระบบเพราะ (1) เรียนไม่รู้เรื่องและ (2) มีภาระในการเรียนมากกว่าปกติ เช่น การทำแบบฝึกหัดเรียนด้วยตนเองคิดเป็นร้อยละ 33.4   ประการที่สอง การศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีเป็นประเด็นที่เป็นภาระมากกว่าการออกมาทำงานหลังจบมัธยมศึกษาตอนปลายในช่วงสถานการณ์ Covic-19 โดยส่วนใหญ่ จึงลังเลในการเลือกศึกษาต่อคิดเป็นร้อยละ 27.1 ประการที่สาม มองเห็นว่าในช่วงสถานการณ์ Covic-19 การประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัวกลายเป็นอาชีพที่มีความสนใจใกล้ตัวกับเยาวชน(ร้อยละ 37.5) เพราะไม่จำเป็นต้องเรียนต่อในระดับปริญญาตรี และสนใจรับราชการ(ร้อยละ 28.7) ประการที่สี่ เยาวชนโดยทั่วไปมองเห็นว่า มาตรการทั้งการแก้ไขปัญหาและความช่วยเหลือของรัฐพอช่วยเหลือผู้ปกครองได้บ้างแต่ไม่มากนัก จึงมีความพึงพอใจในระดับปานกลางและน้อยร้อยละ 47.3, 31.0 ตามลำดับ ประการที่ห้า บทบาทสื่อในประเด็นเรื่องการแพร่ระบาดสามารถเข้าถึงเยาวชนได้ดีร้อยละ 35.3 ขณะที่ประเด็นด้านการเมืองนั้น  ไม่มีผลต่อการสร้างแรงดึงดูดต่อเยาวชนได้มากนักคิดเป็นร้อยละ 19.6 เท่านั้น ประการที่หก การปลุกระดมเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองในบริบทปัจจุบัน ยังไม่สามารถกระตุ้นคิดเป็นร้อยละ 52.4 สอดคล้องกับประการที่เจ็ด การเคลื่อนไหวทางการเมืองผ่านออนไลน์ Facebook, twitter, Line, IG คิดเป็นร้อยละ 33.1 และประการที่แปดสุดท้ายคือ แม้มีการฉีดวัคซีน เยาวชนก็มีความต้องการในการฉีดสูงคิดเป็นร้อยละ 45.5 แม้ว่าจะมีความลังเลอยู่บ้างคิดเป็นร้อยละ 14.2 
วิเคราะห์ผลการสำรวจ

1. เยาวชนมีการปรับตัวตามสถานการณ์ได้ดี แม้จะได้รับผลกระทบ โดยตรงจากการปฏิบัติตามมาตรการนโยบายรัฐเรื่องการจัดการเรียนการสอนออนไลน์เป็นหลัก จึงพบว่า โดยส่วนใหญ่ไม่มีความสุขในระบบเพราะ

(1) เรียนไม่รู้เรื่องและ

(2) มีภาระในการเรียนมากกว่าปกติ เช่น การทำแบบฝึกหัดเรียนด้วยตนเอง

2. การศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีเป็นประเด็นที่เป็นภาระมากกว่าการออกมาทำงานหลังจบมัธยมศึกษาตอนปลายในช่วงสถานการณ์ Covic-19 โดยส่วนใหญ่ จึงลังเลในการเลือกศึกษาต่อ

3. กลุ่มตัวอย่างมองเห็นว่าในช่วงสถานการณ์ Covic-19 การประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัวกลายเป็นอาชีพที่มีความสนใจใกล้ตัวกับเยาวชน เพราะไม่จำเป็นต้องเรียนต่อในระดับปริญญาตรี ซึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายสูง และเสียเวลาอีก 3-4 ปี แต่กลุ่มตัวอย่างอีกลุ่มยังมองเห็นว่า การรับราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นทางเลือกที่มีความมั่นคงสูงในสถานการณ์ปัจจุบันมากกว่าอาชีพอื่นๆ 

4. เยาวชนโดยทั่วไปมองเห็นว่า มาตรการทั้งการแก้ไขปัญหาและความช่วยเหลือของรัฐพอช่วยเหลือผู้ปกครอง ได้บ้างแต่ไม่มากนัก จึงมีความพึงพอใจในระดับปานกลางและน้อยตามลำดับ

5. บทบาทสื่อในประเด็นเรื่องการแพร่ระบาดสามารถเข้าถึงเยาวชนได้ดี ขณะที่ประเด็นด้านการเมืองนั้นไม่มีผลต่อการสร้างแรงดึงดูดต่อเยาวชนได้มากนัก

6. ขณะเดียวกัน การปลุกระดมเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองในบริบทปัจจุบัน ยังไม่สามารถกระตุ้นการตัดสินใจของเยาวชนตัดสินใจเข้าร่วมการเคลื่อนไหวแบบจริงจัง เพราะการเรียนในระบบออนไลน์ทำให้เยาวชนอยู่กับครอบครัวที่มีอิทธิพลในการกล่อมเกลาทางการเมืองสูงกว่ากลุ่มเพื่อน

7.ผลการสำรวจสะท้อนให้เห็นว่า การเคลื่อนไหวผ่านระบบออนไลน์นั้น ยังมีบทบาทในทางการเมืองได้ใกล้ตัวกับเยาวชน เพราะเหตุจากความปลอดภัยที่มีมากกว่าการเข้าร่วมชุมนุมด้วยตนเอง จนกล่าวได้ว่าการเป็นนักเลงคีย์บอร์ดนั้นได้รับการยอมรับในหมู่เยาวชนสูง

8.แม้มีการฉีดวัคซีน เยาวชนก็มีความต้องการในการฉีดสูง แม้ว่าจะมีความลังเลอยู่บ้าง การสร้างความเชื่อมั่นถึงความปลอดภัยย่อมทำให้เยาวชนกล้าตัดสินใจเข้ารับการฉีดวัคซีน


ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“นิด้าโพล” ชี้ ไม่ควรลงโทษ ส.ส.โหวตสวนมติพรรค

"มาฆบูชา 2564" นิด้าโพล เผย ชาวไทยพุทธ ห่างไกลวัด-กตัญญูน้อยลง

รัฐบาลผ่านฉลุย ซูเปอร์โพลให้ไปต่อ ! พอใจ 'พล.อ ประยุทธ์' มากสุด

สวนดุสิตโพล ให้รัฐบาล 5.01คะแนน หลังจบศึกซักฟอก 10 รัฐมนตรี

เงินสะพัด “วันมาฆะ”ต่ำสุดรอบ6ปี ปชช.ปลื้มรัฐจี้กระตุ้นศก.ต่อ