ดาวโจนส์ปิดร่วงกว่า 333.59 จุด หลังบวกต่อเนื่อง 5 วันจากแรงเทขายทำกำไร

28 ธ.ค. 2567 | 08:53 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ธ.ค. 2567 | 08:54 น.

ดาวโจนส์ปิดร่วงกว่า 333.59 จุด หลังบวกต่อเนื่อง 5 วันจากแรงเทขายทำกำไร ด้านดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,970.84 จุด ลดลง 66.75 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,722.03 จุด ลดลง 298.33

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันศุกร์ (27 ธ.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปรับตัวลงด้วย เนื่องจากมีแรงเทขายทำกำไรอย่างมากในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นเติบโตที่หนุนตลาดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,992.21 จุด ลดลง 333.59 จุด หรือ -0.77%
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,970.84 จุด ลดลง 66.75 จุด หรือ -1.11% 
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,722.03 จุด ลดลง 298.33 หรือ -1.49%

ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงหลังบวกต่อเนื่อง 5 วัน และก่อนหน้านั้น ดัชนีดาวโจนส์ติดลบต่อเนื่อง 10 วัน ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2517

ขณะที่หุ้น 45 ตัวในดัชนี S&P500 ที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุดในปีนี้ ปิดลดลงจากแรงขายทำกำไร

สำหรับการเทขายหุ้นในวันศุกร์ได้ขัดขวางการปรับขึ้นของตลาดตามปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ซานตาคลอส แรลลี (Santa Claus Rally) ซึ่งตลาดหุ้นมักจะปรับตัวสูงขึ้นในช่วง 5 วันสุดท้ายของเดือนธันวาคมและ 2 วันแรกของเดือนมกราคม 

โดยข้อมูลจาก Stock Trader's Almanac บ่งชี้ว่า นับตั้งแต่ปี 2512 ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 1.3% จากปรากฏการณ์ดังกล่าว
 

ส่วนการซื้อขายในวันพฤหัสบดี (26 ธ.ค.) ได้บ่งชี้ถึงแรงขับเคลื่อนที่เริ่มชะลอตัว โดยทั้งดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดตลาดขยับลงเล็กน้อย หลังจากที่ปรับตัวขึ้นติดต่อกันหลายวันก่อนหน้า

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้น ได้ดึงดูดความสนใจจากนักลงทุน โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี แตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 7 เดือนในการซื้อขายเมื่อวันพฤหัสบดี และยังคงเคลื่อนไหวใกล้ระดับดังกล่าวในวันศุกร์ที่ 4.63%

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้นถูกมองว่าเป็นปัจจัยกดดันหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth Stocks) เนื่องจากทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเพื่อขยายธุรกิจเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่เรียกว่า Magnificent Seven ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่หนุนตลาดขึ้นในปี 2567 นั้น ต่างก็ได้รับผลกระทบจากแรงเทขายในวันศุกร์ด้วยเช่นกัน

หุ้นเทสลา (Tesla) ร่วงลง 5% ขณะที่หุ้นอื่น ๆ ในกลุ่ม Magnificent Seven อาทิ อินวิเดีย (Nvidia) ลดลง 2.1% และหุ้นอัลฟาเบท (Alphabet), หุ้นอะเมซอนดอทคอม (Amazon.com) และหุ้นไมโครซอฟท์ (Microsoft) ปรับตัวลงมากกว่า 1.5%

หุ้นทั้งหมด 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปรับตัวลง โดยกลุ่มที่ร่วงหนักที่สุดในวันศุกร์คือ 3 กลุ่มหลักที่เคยหนุนนำตลาดขึ้นในปี 2567 ได้แก่ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย, กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ และกลุ่มบริการสื่อสาร ซึ่งปรับตัวลงระหว่าง 1.1% ถึง 1.9%

แม้ตลาดปรับตัวลงในวันศุกร์ แต่ดัชนีหลักทั้ง 3 ตัวยังคงปิดบวกในสัปดาห์นี้ โดยดัชนีดาวโจนส์ขยับขึ้น 0.36%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 0.7% และดัชนี Nasdaq บวก 0.75%

ปริมาณการซื้อขายในสัปดาห์นี้ซึ่งมีวันหยุดเทศกาลคริสต์มาสนั้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา และมีแนวโน้มที่จะยังซบเซาต่อเนื่องไปจนไปถึงวันที่ 6 มกราคม

สำหรับปัจจัยสำคัญถัดไปที่ตลาดให้ความสนใจคือ รายงานการจ้างงานประจำเดือนธันวาคม 2567 ซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันที่ 10 มกราคม 2568