วิริยะประกันภัย จ่อขึ้นค่าเบี้ยประกันรถ EV ชี้อัตราเคลมทะลุ 100%

นายอมร ทองธิว กรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการหารือกับผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า(รถ EV) เกี่ยวกับค่าแรงและค่าอะไหล่รถ EV เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาปรับขึ้นค่าเบี้ยประกันภัยรถ EV เนื่องจากมีต้นทุนที่สูงมาก ทำให้อัตราการเคลมเบี้ยประกันรถ EV ในปีที่ผ่านมาสูงกว่า 100%

ทั้งนี้ต้นทุนรถ EV จะสูงกว่ารถสันดาป 50%  ขณะที่เบี้ยประกันรถ EV จะสูงกว่า 15% เท่านั้น ซึ่งยังไม่พอกับค่าแรงและค่าอะไหล่ที่สูงกว่ารถสันดาปมาก ดังนั้นจึงมีแผนที่จะปรับค่าเบี้ยประกันภัยขึ้น โดยจะดูแต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นด้วยว่า จะปรับในอัตราใด แต่จะต้องเป็นอัตราที่เหมาะสม เพื่อสามารถให้บริการกับผู้เอาประกันภัยได้

 “ภาพรวมพอร์ตประกันรถ EV ของเราอยู่ที่ 66,000 กรมธรรม์ เติบโตขึ้นจากปีที่แล้ว 200% มีเบี้ยรับรวมประมาณ 1,500 ล้านบาท น่าจะเป็นอันดับหนึ่งของอุตสาหกรรม แต่ภาพรวมยังขาดทุน เพราะอัตราเคลมสูงกว่า 100% ขณะที่อัตราการเคลมของพอร์ตประกันรถยนต์รวมอยู่ที่ 60% จากกรมธรรม์ 3 ล้านกรมธรรม์”นายอมรกล่าว

อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2567 เป็นที่น่าพอใจ โดยมีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท เติบโต 2% เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมประกันภัยที่เติบโตเพียง 0.5% มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 286,000 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพียง 2.6% 

สำหรับเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท แบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยรถยนต์ (Motor) 36,380 ล้านบาท เติบโต 2.1%  มีส่วนแบ่งการตลาด 14.3% และเบี้ยประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์ (Non-Motor) 4,499 ล้านบาท เติบโต 1.2% มีส่วนแบ่งการตลาด 22.6% เป็นอันดับ 1 ของอุตสาหกรรมต่อเนื่องเป็นปีที่ 33 

อีกทั้งยังคงมั่นคงแข็งแกร่งด้วยสินทรัพย์ที่มีอยู่ถึง 70,904 ล้านบาท และอัตราความพอเพียงของเงินกองทุน (CAR) 220% ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่ามาตรฐานของเงินกองทุนฯ ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ อันแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังคงมีต่อวิริยะประกันภัยอย่างเหนียวแน่น

สำหรับปี 2568 คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจะขยายตัว 2.4-2.9% และอุตสาหกรรมประกันภัยจะเติบโต 1.5-2.5% มีเบี้ยประกันภัยรับตรง 291,240-294,100 ล้านบาท ขณะที่บริษัทฯ ตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยรับตรงเติบโตไม่น้อยกว่า 3.7% หรืออยู่ที่ 42,569 ล้านบาท แบ่งเป็น ประกันภัยรถยนต์ 37,591 ล้านบาท เติบโต 3.3% และประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์ 4,978 ล้านบาท เติบโต 11%

ทั้งนี้การจะเดินหน้าไปให้ถึงเป้าหมาย บริษัทจะต้องพัฒนางานบริการให้เป็นเลิศในทุกมิติ ทั้งในด้านการยกระดับคุณภาพ Touchpoint การขยาย Ecosystem คู่ค้า และการพัฒนาศักยภาพบุคลากร เพื่อให้การเติบโตของงานมอเตอร์และนอนมอเตอร์เป็นไปตามเป้าหมาย

เป้าหมายแรกคือ ยกระดับคุณภาพและความพร้อมในการให้บริการ ทุกจุดที่ลูกค้าได้สัมผัสแบรนด์ (Touchpoint) สอดประสานเป็น Omnichannel สะดวกทุกที่ทุกเวลา ผ่านช่องทางบริการที่หลากหลายและครบวงจร ทั้งการขยายตัวแทนและนายหน้าประกันไม่น้อยกว่า 200 รายจากตัวแทนปัจจุบันที่มี 3,800 ราย พัฒนาขยับขยายจุดบริการจากปัจจุบัน 120 แห่งเป็น 150 แห่งทั่วประเทศ

เป้าหมายที่สอง ขยายเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศของบริการ (Ecosystem)  ด้วยการเพิ่มตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้ครอบคลุมทุกแบรนด์ทั่วประเทศ พร้อมพัฒนาศักยภาพศูนย์ซ่อมมาตรฐานของวิริยะประกันภัย เพื่อรองรับการให้บริการซ่อมรถยนต์ไฟฟ้า (EV)

เป้าหมายที่สาม  ยกระดับศักยภาพบุคลากรวิริยะประกันภัย ที่มีอยู่กว่า 6,900 คน ตั้งแต่ระดับบริหารไปจนถึงระดับปฏิบัติการ ทั้ง พัฒนาศักยภาพตาม Road Map ของแต่ละตำแหน่งงานและช่วงอายุงาน พัฒนาระบบ Online Training ให้พนักงานสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ด้วยตนเองได้ทุกที่ ทุกเวลา ภายใต้แนวคิด Long Live Learning

บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยทั้งในส่วนของประกันภัยมอเตอร์ ซึ่งปีนี้จะพัฒนาประกันภัยประเภท 5 (2+,3+) คุ้มครองภัยน้ำท่วมซ่อมอู่ทั่วไป และประเภท 5 (2+) รถไฟฟ้าซ่อมห้าง ส่วนประกันภัยนอนมอเตอร์ มีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยสุขภาพและอุบัติเหตุ ซึ่งคาดว่าจะสามารุออกมาในไตรมาส2ปีนี้

“บริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนาบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบบริการที่เป็นเลิศ ทั้งความใส่ใจในบริการ สร้างความมั่นใจ วางใจ และทันใจให้ผู้ถือกรมธรรม์วิริยะประกันภัยกว่า 8 ล้านกรมธรรม์ ได้รับประสบการณ์ ‘ใช้ทุกวิให้คุ้มค่า’  โดยมีหัวใจสำคัญคือบุคลากรวิริยะประกันภัยทุกส่วนงานเป็นแรงขับเคลื่อนนำพาองค์กรไปสู่เป้าหมาย”คุณอมร กล่าว