นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/68 นี้ เชื่อว่ายังคงมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน เนื่องจากบริษัทคาดว่าจะสามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงใหญ่กว่า 400 ไร่ ให้กับลูกค้าต่างชาติได้เพิ่มเติม
นอกจากนี้ บริษัทยังคงได้รับความสนใจจากลูกค้าต่างชาติรายใหม่ และมีการเจรจาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีการเซ็นสัญญาซื้อขายที่ดิน (LOI) รวมแล้วมากกว่า 1,000 ไร่ และยังมีรายใหม่ที่อยู่ระหว่างการเจรจาที่ต้องการที่ดินแปลงใหญ่ประมาณ 1,000 ไร่ เข้ามาเพิ่มเติม ซึ่งในเบื้องต้นรายดังกล่าวบริษัทอาจเสนอที่ดินแปลงใหญ่ให้ได้ราว 700-800 ไร่
ทั้งนี้ ลูกค้าต่างชาติที่เข้ามาติดต่อขอซื้อที่ดิน ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่ดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องกับ High-Tech โดยมีทั้งกลุ่มยานยนต์และซัพพลายเชน กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า กลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มคอนซูมเมอร์ เป็นต้น ปัจจัยหลักๆ เป็นอานิสงส์มาจากนโยบายการปรับขึ้นภาษีของทรัมป์ ทำให้เกิดการย้ายฐานทุนเป็นจำนวนมาก
"เรื่องนโยบายการขึ้นภาษีของทรัมป์ เป็นเรื่องที่พูดมาตลอดหลายปี หลายคนไม่เชื่อในสิ่งที่เคยพูดไป แต่อยากให้เห็นว่าในวันนี้การเข้ามาลงทุนของต่างชาติมีความชัดเจนมากน้อยแค่ไหน การเติบโตของนิคมฯ อุตสาหกรรม น่าจะช่วยสะท้อนภาพเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี และมองว่าการย้ายฐานทุนจะมีเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ต่อเนื่องไปอีกหลายปี"
ปัจจุบันบริษัทยังมียอดขายที่รอการโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) ในมืออีกกว่า 1,553 ไร่ ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 68 เป็นส่วนใหญ่ เชื่อว่าจะช่วยสะท้อนภาพธุรกิจว่ายังคงดำเนินการได้ตามปกติและยังคงมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายที่วางไว้ไม่น้อยกว่า 35% หรือแตะ 20,000 ล้านบาท ยังคงทำสถิติสูงสุดใหม่ (All time high) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4
ขณะเดียวกันบริษัทก็ยังคงมั่นใจว่าในปี 68 นี้ จะสามารถคงอัตรากำไร (EBITDA Margin) ได้มากกว่าระดับ 45% โดยคาดว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้นจะมาจากการขยายตัวของยอดขายในธุรกิจนิคมฯ, ธุรกิจโลจิสติกส์, ธุรกิจสาธารณูปโภค และธุรกิจโมบิลิตี้ เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม จากความต้องการที่ดินของลูกค้ารายใหม่ที่มีมาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในช่วงครึ่งหลังปี 68 มีโอกาสที่บริษัทจะปรับเป้าหมายการเติบโตเพิ่มเติม
ส่วนแผนการงบลงทุนในปี 68 นี้ รวมประมาณ 20,000 ล้านบาท รองรับสำหรับ 5 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1.ธุรกิจโลจิสติกส์ 4,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจโมบิลิตี้ 1,500 ล้านบาท 3.ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม 9,900 ล้านบาท 4.ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน 4,500 ล้านบาท และ5.ธุรกิจดิจิทัล จำนวน 450 ล้านบาท
สำหรับประเด็นที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติเลื่อนแผน Spin-off ของ บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAID เนื่องจากประเมินว่าสภาวะตลาดหุ้นไทยไม่เอื้ออำนวย สะท้อนจากตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ดัชนีหุ้นไทยลงไปแล้ว 240 จุด และยังไม่เห็นภาพมาตรการที่ชัดเจนที่จะทำให้ตลาดทุนไทยฟื้นตัวขึ้น
รวมถึงที่ประชุม ยังอนุมัติการยกเลิกการปรับโครงสร้างบริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP ด้วยนั้น WHAID จะกลับมาอีกเมื่อไหร่ ยอมรับว่ายังไม่มีกำหนดที่ชัดเจน โดยการเลื่อนรอบนี้ เบื้องต้น คือ ภายใน 2 ปีนี้ยังไม่มีแน่นอน หลังจากนี้ จะต้องคุยกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่และบริษัทพร้อมที่จะรับฟังทุกความเห็น
"โดยภาพใหญ่ที่เลื่อน จากภาพของตลาดหุ้นที่อยู่เหนือความคาดหมาย โดยคงตอบไม่ได้ว่าตลาดจะกลับมาดีตอนไหน ขณะเดียวกันบริษัทมีการลงทุนในเวียดนาม และเคยพูดคุยกับผู้บริหารถึงการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในเวียดนามด้วย ซึ่งเป็นการพูดคุยกันเฉยๆ โดยตลาดเวียดนามก็น่าสนใจ ก็ยอมรับว่ามีความสนใจ"
สำหรับราคาหุ้นของบริษัทที่ปรับตัวลดลงนั้น ยืนยันว่า เป็นผลจากตามสภาพของตลาด โดยยืนยันว่า ไม่เกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัทแต่อย่างใด ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า บริษัทเลื่อนแผนจากปัญหาหนี้สินจำนวนมากนั้น ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง เนื่องจากบริษัทมีเงินกู้กับสถาบันการเงินน้อยกว่า 20%
ทั้งนี้ บริษัทมองว่าหน่วยงานกำกับดูแลควรพิจารณายกเลิกการ Force Sell โดยยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมาหุ้นร่วงในรอบนี้ เห็นการ Force Sell ในรอบนี้ด้วย ขณะเดียวกันอยากให้คำนึงถึงเรื่องธรรมาภิบาลด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ ที่จะต้องคำนึงถึงด้วย
โดยในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้พูดคุยกับหลายกองทุน และหลังจากนี้จะมีการพูดคุยเพิ่มเติมภายหลังจากที่มีการเลื่อนแผนการ Spin Off WHAID ออกไป สำหรับกองทุน THAI ESGX คาดว่าจะชะลอการขายได้บ้าง ขณะที่บริษัท จัดอยู่ในบริษัทที่เป็น ESG ซึ่งเป็นอีกบริษัทที่กองทุนจะซื้อได้