โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” หนึ่งในมาตรการรัฐภายใต้ความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลัง,ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.), สมาคมธนาคารไทย, สมาคมธนาคารนานาชาติ, สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ
รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงิน (Non-Banks) บางแห่ง เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ SMEs ขนาดเล็ก ครอบคลุม 2.1 ล้านบัญชี เป็นลูกหนี้ 1.9 ล้านราย และมียอดหนี้รวมประมาณ 8.9 แสนล้านบาท
ล่าสุด ธปท.ประกาศขยายเวลาเปิดลงทะเบียนโครงการไปตั้งแต่ 13 กุมภาพันธ์-30 เมษายน 2568 จากกำหนดเดิมสิ้นสุด 28 กุมภาพันธ์ 2568 ด้วยผลตอบรับค่อนข้างน้อย
หลังเปิดให้ลงทะเบียนระหว่าง 12 ธันวาคม 2567-19 กุมภาพันธ์ 2568 อยู่ที่ 8.6 แสนราย หรือคิดเป็น 1.04 ล้านบัญชี โดยจากการสำรวจข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2568 จากจำนวนผู้ลงทะเบียน 6.3 แสนราย แต่มีผู้ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติเพียง 2.4 แสนราย คิดเป็น 38%ของผู้ลงทะเบียนเท่านั้น
ธปท.อธิบายถึงสาเหตุที่ลูกหนี้เข้ามาลงทะเบียนค่อนข้างน้อยนั้น มาจาก 4 ส่วนหลัก
ส่วนการขยายโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ในส่วนของผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-Banks) มีผู้ร่วมโครงการ 2 รายคือ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) และบริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ซึ่งเข้าร่วมมาตรการ “ลดผ่อน ลดดอก” และ “จ่าย ปิด จบ”
ปัจจุบันก็มีผู้ประกอบการให้ความสนใจเข้าร่วม แต่จะต้องผ่านเกณฑ์คุณสมบัติของธนาคาร ออมสิน เนื่องจากเป็นแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) จึงต้องระมัดระวังความเสี่ยง
แหล่งข่าวเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ลูกค้าที่เข้ามาลงทะเบียนส่วนใหญ่ มีสถานะไม่ได้ค้างจ่าย ขอเข้ามาตรการเยอะมาก ซึ่งหลักเกณฑ์ต้องมีสถานะหนี้วันที่ 31 ตุลาคม 2567 หรืออีกส่วนเป็นลูกหนี้ค้างชำระและเคยเข้ามาตรการมาแล้ว แต่ไม่เข้าเกณฑ์ปรับโครงสร้างหนี้ 1 มกราคม 2565 และอีกส่วนเป็นรายเพิ่งผ่อนบ้าน ผ่านรถยนต์ไม่นาน แต่เพิ่งมาค้างชำระหรือเป็นหนี้เสีย
“รายที่เข้าเกณฑ์ของโครงการจริงๆ เข้ามาน้อยมาก ดังนั้น จึงสามารถอนุมานได้ว่า คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาต้องการส่วนลดดอกเบี้ย แม้รู้ทั้งรู้ว่า ตัวเองไม่อยู่ในสถานะเข้าหลักเกณฑ์ของโครงการ”
ทั้งนี้ สาเหตุลูกค้าเข้าเกณฑ์น้อย ส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาคุณภาพหนี้หรือลูกค้าใหม่เพิ่งซื้อบ้าน ซื้อรถแล้วเป็นหนี้ 1 มกราคม 2567 คือ คนที่เข้ามาเป็นคนที่มีสถานะล้มบนฟูกทั้งนั้น มาตรการนี้อาจจะไม่ได้ดึงดูดคนที่มีปัญหาเข้ามาในระยะแรก ส่วนหนึ่งสถาบันการเงินจะมีความพร้อมมากขึ้นเดือนมี.ค.-เม.ย.น่าจะมีลูกค้าเข้าเกณฑ์มากขึ้น
ส่วนกรณีลดดอกเบี้ย สำหรับลูกหนี้รถยนต์หรือสินเชื่อเช่าซื้อนั้น แหล่งข่าวระบุว่า ทางสมาคมธนาคารไทยได้ปรับระบบให้ลูกค้าแล้ว โดยไม่ถือเป็นข้อจำกัด แต่ส่วนตัวคาดหวังว่า
หลังจากนี้สถาบันการเงินอาจจะมีความพร้อมมากขึ้นและจะมีลูกค้าที่เข้าหลักเกณฑ์ทยอยเข้ามาเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตามเฉพาะนอนแบงก์ 2 บริษัทที่เข้าโครงการ ต่างมีจำนวนบัญชีลูกค้าค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตาม ในแง่การใช้เม็ดเงินจากโครงการนี้ ก็ยังมีข้อจำกัด อย่างบริษัทนอนแบงก์ไม่สามารถจะใช้เม็ดเงินจากการลดเงินส่งเงินเข้ากองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ซึ่งกำหนดไว้ใช้เฉพาะสถาบันการเงินเท่านั้น
อีกทั้งกรณีไปใช้ซอฟต์โลนกับธนาคารออมสิน (ซึ่งเป็นเงินงบประมาณตาม ม.28 เพื่อชดเชยให้ SFIs) ต้องระมัดระวังความเสี่ยงในแง่การใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ด้วย ซึ่งต้องเห็นด้วยกับธนาคารออมสินที่ต้องพิจารณาอนุมัติแหล่งเงินให้นอนแบงก์อย่างรอบคอบ
ส่วนโอกาสที่จะให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.)ค้ำประกันในโครงการคุณสู้ เราช่วยนั้น แหล่งข่าวอธิบายว่า หลักการของบสย.ในการค้ำประกันสำหรับการปล่อยสินเชื่อใหม่เท่านั้นคือ บสย.ต้องจับมือกับสถาบันกรเงินและมีข้อตกลงร่วมกันก่อนจะอนุมัติสินเชื่อใหม่
ภายใต้ข้อตกลงว่า หากปล่อยสินเชื่อใหม่บสย.จะคิดค่าพรีเมียมในการค้ำประกันเท่าไร,หรือบวกเข้าไปในอัตราดอกเบี้ย หลังอนุมัติสินเชื่อแล้ว ถ้าเกิดเป็นหนี้เสีย บสย.อาจจะไม่รับผิดชอบหนี้เสียในปีแรก โดยบสย.จะรับผิดชอบเฉพาะหนี้เสียในปีที่2 ในอัตรากี่เปอร์เซ็นต์
ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับกรณีที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เสนอให้รัฐบาลโดยบสย.จ่ายหรือค้ำประกัน กรณีรถยึดขาดทุน
“ประเด็นช่วยแก้ปัญหาหนี้ค้างชำระนั้น เห็นข่าวบสย.บอกว่า กำลังศึกษาความเป็นไปได้ 2 กรณีคือ ลูกหนี้เช่าซื้อที่เป็นเครือหรือบริษัทลูกแบงก์ที่ค้างชำระไม่ถึง 20%ของวงเงินกู้หรือไม่เกินสองแสนบาท กับกรณีที่ร้างแล้วไม่ต้องการเก็บรถไว้ทางบสย.จะรับโอนเป็นลูกหนี้โดยปล่อยกู้ส่วนที่เหลือให้ แต่บริษัทเช่าซื้อเป็นผู้รับภาระส่วนต่างในการจัดการรถ”แหล่งข่าวกล่าวทิ้งท้าย
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 4,073 วันที่ 23 - 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568