ไตรมาส 4 และไตรมาส 1 ของทุกปีจะเป็นไฮซีซันของธุรกิจค้าปลีก ทำให้ทางฝ่ายคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานทั้งในแง่ของ ยอดขายต่อสาขาเดิม (SSSG) รายได้ และกำไรสุทธิ จะมีการเติบโตที่ดีกว่าทั้งจากไตรมาสก่อน และเมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน
ซึ่งการเติบโตของกลุ่มหุ้นค้าปลีกโดยเฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าเพื่อการบริโภคอย่าง CPALL และ CPAXT อยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดีกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มหุ้นค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง-ตกแต่งบ้าน (HD&C) และกลุ่มหุ้นค้าปลีกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ค และอื่นๆ
ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ได้แก่ โครงการ Easy E-receipt และโครงการ 10,000 บาท ดิจิทัล เฟส 2 คาดว่าจะเป็นปัจจัยเข้ามาช่วยเสริมให้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/68 มีการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า เพียงแต่ก้ต้องเผื่อใจ เพราะเชื่อว่าอาจไม่ได้เข้ามาสร้างผลกระทบเชิงบวกได้ตามที่หลายฝ่ายคาดหวังไว้
บล.บัวหลวง เผยมุมมองต่อกลุ่มหุ้นค้าปลีก (Retail Sector) ว่า คาดการณ์ว่า ยอดขายต่อสาขาเฉลี่ยสำหรับไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 1.1% ซึ่งเป็นการฟื้นตัวจากการหดตัว 1.4% ในไตรมาส 3/67 ส่วนในปี 2568 คาดว่ากำไรภาพรวมเพิ่มขึ้น 11% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน จาก กลุ่มสินค้าจำเป็น 13% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยมียอดขายต่อสาขาเฉลี่ย 2.5% โดยคาดว่า CPAXT จะกำไรเติบโตสูงสุดในกลุ่มที่ 19% ตามด้วย BJC ที่ 11%
ด้าน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้ความคิดเห็นต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีกว่า ฝ่ายวิจัยยังคงน้ำหนักการลงทุนกลุ่มค้าปลีกมา จากแนวโน้มผลประกอบการระยะสั้นที่เติบโตดีทั้ง จากไตรมาสก่อน และเมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และคาดดัชนีความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภคจะปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในปี 2568 จากเสถียรภาพทางการเมืองและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มีแนวโน้มออกมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับ CPALL บล.บัวหลวง คาดกำไรหลักไตรมาส 4/67 ที่ 6,557 ล้านบาท เติบโต 17% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และเพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อน จากยอดขายต่อสาขาที่แข็งแกร่งและการปรับส่วนผสมสินค้าใน 7-Eleven ที่เพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น โดยคาดรายได้เพิ่มขึ้น 6% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และเติบโต 5% จากไตรมาสก่อน หากไม่รวม Lotus’s และ Makro แล้ว 7-Eleven ยังมียอดขายต่อสาขา เติบโต 4% และยอดขายต่อบิลเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 2%
จากคาดการณ์ดังกล่าวทำให้ทางฝ่ายปรับประมาณการกำไรหลัก CPAXT ปี 68-69 เพิ่มขึ้น 7% และ 5% ตามลำดับ ส่งผลให้กำไรหลักของ CPALL ปี 2568 คาดที่ 27.6 พันล้านบาท เติบโต 11% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ซึ่งโดยภาพรวมยังได้รับแรงหนุนจาก 7-Eleven ที่เติบโตต่อเนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และการเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงในพอร์ต แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 79 บาท
ด้าน บล.เอเซียพลัส คาดว่า CPALL จะมีกำไรปกติไตรมาส 4/2567 ที่ 6.8 พันล้านบาท เติบโต 10% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 22% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยกำไรที่โตจากไตรมาสก่อนเป็นผลจากฤดูกาล ส่วนกำไรที่โตเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อนมาจากยอดขายและมาร์จิ้นที่เพิ่มขึ้นตามการเติบโตของทุกธุรกิจ
สำหรับ CPAXT บล.ดาโอ (ประเทศไทย) คาดกำไรไตรมาส 4/2567 ที่ 3.3 พันล้านบาท โต 1% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 70% จากไตรมาสก่อน โดยมีปัจจัยหนุนจาก SSSG ที่คาดว่าจะอยู่ในระดับตัวเลขเดียวตอนต้น ทำให้คาดรายได้รวมอยู่ที่ 1.32 แสนล้านบาท และคาด GPM เฉลี่ยรวมอยู่ที่ 16.6%
ขณะที่ บล.ฟิลลิป คาดว่าไตรมาส 4/2567 CPAXT จะมียอดขายที่ 1.27 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.1% จากไตรมาสก่อน และเติบโต 4% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยได้ปัจจัยบวกจากฤดูกาลและการควบคุมต้นทุนที่ดี คาดกำไรสุทธิจะอยู่ที่ 4,362 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 123.5% จากไตรมาสก่อน และเติบโต 32.9% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน
ด้าน CRC บล.บัวหลวง ประเมินว่า SSSG ในไตรมาส 4/2567 คาดหดตัวเพียง 1% ดีขึ้นจาก -3% ในไตรมาส 3/2567 โดยธุรกิจในไทยมี SSSG พลิกกลับมาโต 1-2% หลังจากกลับมาเปิดสาขาหลัก และมีแนวโน้มว่า SSSG จะฟื้นตัวต่อเนื่อง
บล.ฟิลลิป คาดว่า CRC จะได้ประโยชน์จากโครงการ Easy E-receipt และ Digital Wallet โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจ Hardline และ Fashion เนื่องจากสินค้ามีช่วงราคาหลากหลาย รวมถึงสินค้าราคาสูงอย่างแบรนด์เนม เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
นอกจากนี้ ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยในปี 67 ทั้งสิ้นจำนวนกว่า 35.5 ล้านคน เพิ่มขึ้น 26.3% ถือเป็นปัจจัยบวกสำหรับกลุ่มค้าปลีก และ CRC โดยเป็นการเพิ่มอุปสงค์เพิ่มเติมจากผู้บริโภคในประเทศ อีกทั้งผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์ว่าในปี 68 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยประมาณ 40 ล้านคน พร้อมคาดรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศจะเติบโต 7.5% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐานปี 68 อยู่ที่ 41.25 บาท
ด้าน BJC บล.ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/67 จะเร่งตัวจากไตรมาสก่อน จากไฮซีซัน ของการใช้จ่าย และคาดยอดขายต่อสาชาเพิ่มขึ้นราว 2% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน อย่างไรก็ตามกำไรจะลดลงเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อนที่มีฐานสูงจากภาษีจ่ายที่เป็นบวก ซึ่งหากดูที่กำไรก่อนภาษีในปี 2567 คาดว่าเร่งตัวเป็น 5.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และคาดมี Sentiment บวกวันนี้จากมาตรการ Easy e-Receipt ซึ่ง BJC ได้ประโยชน์ แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 31 บาท แนวรับ 21.60//21 บาท แนวต้าน 22.30-22.40//23 บาท