PCE แตกไลน์ผลิตปาล์มไฮมาร์จิ้น รุกผนึก 2 พาร์ทเนอร์ ตปท. อัพแกร่ง

20 ม.ค. 2568 | 07:00 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ม.ค. 2568 | 08:20 น.

PCE แย้มอยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนโปรเจ็กต์ "โอเลโอเคมิคัล" เจรจาพันธมิตรยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่น-จีน คาดไม่เกินปลายปีได้ข้อสรุป กางแผนงานปี 68 ตั้งเป้ารายได้โต 15-20% แตะ 3 หมื่นล้าน วางงบกว่า 1 พันล้าน รองรับการขยายกำลังโรงสกัดน้ำมันปาล์ม

นายพรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล รองกรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ และกรรมการ บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PCE เปิดเผยว่า จากแผนการพัฒนาธุรกิจและมองหาโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ เพื่อต่อยอดธุรกิจและผลิตภัณฑ์จากปาล์มนั้น ทำให้ในปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนในการเพิ่มมูลค่าสินค้าโดยเฉพาะกลุ่ม High Margin

โดยมีความสนใจลงทุนในอุตสาหกรรม "โอเลโอเคมิคัล" มองรูปแบบการสกัดน้ำมันเมล็ดในปาล์ม (CPKO) เพื่อแยกกรดไขมันตั้งแต่ C8-C12 ออกมาเป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตเครื่องสำอาง สารทดแทนคาเคาในการผลิตช็อกโกแลต รวมถึงเป็นส่วนสำคัญที่ใช้เป็นสารผสมในการผลิตเครื่องสำอาง

ปัจจุบันมีศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนกับพันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่นไว้แล้ว 1 ราย คาดว่าไม่เกินปลายปี 2568 จะเห็นความชัดเจน และอาจใช้เวลาในการก่อสร้างโรงงานใหม่ราว 2 ปี ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าในการลงทุนเฟสแรกส่วนการสกัด CPKO จะใช้เงินประมาณ 1,500 ล้านบาท แหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดในมือ และการกู้ยืมสถาบันการเงิน

การสกัดน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อแยกกรดไขมันตั้งแต่ C14-18 ออกมาเป็นวัตถุดิบรองรับสำหรับการผลิตยางสังเคราะห์และหนังสังเคราะห์ รวมถึงนำมาพัฒนาเป็นสารใช้เป็นส่วนผสมในการทำยา ซึ่งในส่วนนี้ก็มีการเจรจากับพันธมิตรจากประเทศจีนไว้แล้ว แต่คาดว่าอาจต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาดูใจอีกราว 2-3 ปี จึงจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน อย่างไรก็ดี การลงทุนในส่วนนี้ประเมินว่าจะใช้เงินลงทุนเพิ่มอีกราว 2,500-3,500 ล้านบาท

กางแผนปี 68 ผลงานโต 15-20%

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท หรือเติบโต 15-20% ต่อเนื่องจากปีก่อน โดยบริษัทวางแผนใช้เทคโนโลยีเพื่อขยายกำลังการผลิต ควบคู่กับการเพิ่มมูลค่าสินค้าในธุรกิจการสกัดและการกลั่นน้ำมันปาล์ม

ตลอดจนการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนขยายเป็น Bio Complex เช่น ลดของเสียและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการบริหารจัดการน้ำเสีย รวมถึงการปฏิบัติตามมาตรฐานสากล เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย

  • วางแผนใช้เทคโนโลยีเพื่อขยายกำลังการผลิตน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) จาก 90 ตัน/ชม. เป็น 135 ตัน/ชม. ขยายกำลังการผลิตด้วยการกลั่นน้ำมันปาล์มโอเลอีน (RBDOL) จาก 300 ตัน/วัน เป็น 700 ตัน/วัน ตลอดจนเน้นผลิตและจำหน่ายน้ำมันเมล็ดในปาล์ม (CPKO)
  • แผนลงทุนด้านโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม เพื่อให้การสกัดน้ำมันปาล์มมีประสิทธิภาพสูงสุด ภายใต้งบลงทุนที่วางไว้ 800-1,000 ล้านบาทในปีนี้ รวมถึงขยายน้ำมันสำหรับบริโภคทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศให้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมองเห็นว่าอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยของการบริโภคน้ำมันปาล์มนั้นเพิ่มขึ้นทุกปี
  • ส่งน้ำมันปรุงอาหารที่ใช้แล้ว (Used Cooking Oil) ให้กับ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ประมาณ 5,000 ตัน/เดือน 
  • เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ แตกไลน์ผลิตภัณฑ์ปาล์มที่บริษัทมีอยู่ เช่น น้ำมันเมล็ดในปาล์ม (CPKO) และน้ำมันเมล็ดในปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ (RBDPKO) โดยสัดส่วนการเพิ่มยอดการจัดจำหน่ายเป็น 40,000 ตัน จากเดิมที่ 15,000 ตัน
  • แผนการส่งออกกะลาปาล์มไปยังญี่ปุ่น ตั้งเป้าหมายมากกว่า 100,000 ตัน/ปี

ขณะเดียวกันก็จะเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าและบริการทางออนไลน์ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองอัตราการอุปโภคบริโภคน้ำมันปาล์มที่เพิ่มมากขึ้นกว่าปีก่อน 3% (ข้อมูลจากกรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์) ซึ่งคาดว่าจะเข้ามาเป็นอีกปัจจัยขับเคลื่อนให้การเติบโตของรายได้ในปี 2568 นี้ทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

"ในปี 2568 บริษัทประเมินว่าการส่งออกน้ำมันปาล์มไปยังประเทศจีน รวมถึงประเทศอินเดีย ยังคงมีแนวโน้มการขยายตัวที่ดี การที่เราลงทุนขยายกำลังการผลิต เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ขยายช่องทางจำหน่ายใหม่ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการเดินหน้าขยายตลาดใหม่ๆ ของบริษัทได้ ควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนการผลิต ยิ่งช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับบริษัทได้มากขึ้นอีกด้วย สะท้อนแต่แนวโน้มผลการดำเนินงานที่ดีในอนาคต มองไปในอนาคตอีก 5-10 ปี ผลผลิตของปาล์มเติบโตขึ้นทุกปี 5% ดังนั้นหากบริษัทเตรียมไว้การส่งออกน้ำมันปาล์มในอนาคตจะได้มากขึ้น"

บริษัทยังประเมินราคาน้ำมันปาล์มในปี 2568 โดยมองว่ายังมีแนวโน้มการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน การเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ในวันที่ 20 ม.ค.นี้ มองว่าด้วยนโยบาย America First และจากสถิติในอดีต ทรัมป์ 1.0 ที่จุดประกายสงครามการค้า ส่งผลให้ราคาปาล์มปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสให้กับ PCE

ESG เป็นที่ตั้งของความยั่งยืน

พร้อมกันนี้ บริษัทยังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจภายใต้หลักธรรมาภิบาลและความรับผิดชอบต่อสังคม ให้ความสำคัญด้าน ESG ที่มีโครงการส่งเสริมการนำน้ำมันพืชใช้แล้วนำกลับมาใช้ใหม่ด้วยการนำน้ำมันเก่า 2 ขวดมาแลกเป็นน้ำมันใหม่ 1 ขวด ที่ผ่านมาได้มีการเปิด

รวมถึงโครงการรวมพลังสร้างปาล์มน้ำมันไทยเพื่อก้าวไกลสู่มาตรฐาน RSPO (Roundtable on Sustainable Palm Oil) ซึ่ง RSPO เป็นมาตรฐานการผลิตน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืนที่ปัจจุบันได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติมากที่สุด โดยเป็นการร่วมลงนาม (MOU) กับหน่วยงานภาครัฐ 

ขณะเดียวกันนั้น กลุ่มบริษัทยังคงยึดนโยบายขยายขอบเขตธุรกิจ เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และสร้างผลตอบแทนระยะยาวผ่านการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ และพัฒนากระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ การบริหารจัดการควบคุมความเสี่ยงในธุรกิจสกัดและกลั่นน้ำมันปาล์ม ธุรกิจขนส่ง และธุรกิจเทรดดิ้งเป็นพิเศษ

ด้วยการพิจารณาถึงปัจจัยความเสี่ยงที่ซับซ้อนจากราคาพลังงาน กฎระเบียบ สิ่งแวดล้อม และการเคลื่อนไหวน้ำมันปาล์มในตลาดโลก เพื่อสร้างผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรมควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน อีกทั้งยังช่วยเพื่อศักยภาพให้กับเกษตรกรไทย เพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นแนวทางในการสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ

ผลการดำเนินงาน 9 เดือนปี 2567

  • รายได้รวม : 21,809.63 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ : 396.81 ล้านบาท
  • เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด : 736.88 ล้านบาท
  • รวมสินทรัพย์ : 7,094.59 ล้านบาท

ผลการดำเนินงานปี 66

  • รายได้รวม : 24,722.78 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิ : 310.73 ล้านบาท
  • เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด : 140.40 ล้านบาท
  • รวมสินทรัพย์ : 5,686.11 ล้านบาท

PCE ประกอบธุรกิจโดยการเข้าถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจหลัก 4 ธุรกิจ ดังนี้

  • ธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์ม น้ำมันไบโอดีเซล และน้ำมันปาล์มโอเลอีนเพื่อการบริโภค
  • ธุรกิจให้บริการคลังสินค้าและท่าเทียบเรือ
  • กลุ่มธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางรถ
  • กลุ่มธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางเรือ

ปัจจุบันมีมูลค่าตามราคาตลาด ณ วันที่ 17 ม.ค. 68 อยู่ที่ 8,470.00 ล้านบาท

ผู้ถือหุ้นใหญ่ 10 อันดับแรก

  1. บริษัท พีซีอีพี โฮลดิ้ง จำกัด จำนวน 910,000,000 หุ้น หรือสัดส่วน 33.09%
  2. PKSG HOLDING PTE. LTD. จำนวน 820,000,000 หุ้น หรือสัดส่วน 29.82%
  3. นางประภาพรรณ ประสิทธิ์ศุภผล จำนวน 70,000,000 หุ้น หรือสัดส่วน 2.55%
  4. นางสาวกัญกร ประสิทธิ์ศุภผล จำนวน 60,000,000 หุ้น หรือสัดส่วน 2.18%
  5. นายประกิต ประสิทธิ์ศุภผล จำนวน 60,000,000 หุ้น หรือสัดส่วน 2.18%
  6. นายพรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล จำนวน 43,000,000 หุ้น หรือสัดส่วน 1.56%
  7. นายกิตติภณ ประสิทธิ์ศุภผล จำนวน 40,000,000 หุ้น หรือสัดส่วน 1.45%
  8. MAYBANK SECURITIES PTE LTD จำนวน 28,508,700 หุ้น หรือสัดส่วน 1.04%
  9. นายตรรก พงษ์เภตรา จำนวน 25,000,000 หุ้น หรือสัดส่วน 0.91%
  10. นายสุวิทย์ สินธุนนท์ จำนวน 25,000,000 หุ้น หรือสัดส่วน 0.91%