MINT แรงหนุนการท่องเที่ยว ดันกำไร 9 เดือนแรกกว่า 5.5 พันล้าน โต 19%

14 พ.ย. 2567 | 15:00 น.
อัปเดตล่าสุด :14 พ.ย. 2567 | 15:01 น.

MINT ประกาศกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกปี 67 ทะยาน 535 พันล้าน เพิ่มขึ้น 19% จากปีก่อน ขณะที่รายได้รวมยืนเหนือ 1.24 แสนล้าน โต 9% มองไตรมาส 4/67 เข้าไฮซีซันท่องเที่ยว หนุนผลงานเติบโตต่อเนื่อง

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด (มหาชน) หรือ MINT รายงานผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงานในไตรมาส 3/2567 เติบโตอย่างแข็งแกร่งและมีอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น โดยรายได้จากการดำเนินงานของ MINT เพิ่มขึ้น 5% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 42,028 ล้านบาท

การเติบโตนี้เป็นผลมาจากแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของกลุ่มโรงแรมของบริษัท ทั้งจากรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPar) และราคาห้องพักเฉลี่ย (ADR) ที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวไฮซีซั่นของยุโรป รวมถึงในประเทศไทย แม้ว่าจะอยู่ในช่วงฤดูฝน ซึ่งได้รับแรงหนุนจากความต้องการส่าหรับการเดินทางเพื่อธุรกิจและการพักผ่อนที่แข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนอย่างมีประสิทธิผล

ในส่วนของธุรกิจร้านอาหาร การเติบโตของยอดขายต่อร้านเดิม (SSSG) ของแบรนด์หลักในประเทศไทยและสิงคโปร์ได้รับแรงหนุนจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ แบบเจาะกลุ่มเป้าหมาย การดลาด และการบริหารจัดการรายได้เชิงกลยุทธ์สำหรับการมารับประทานอาหารที่ร้านและช่องทางเดลิเวอรี่ ซึ่งช่วยเพิ่มปริมาณและยอดขาย

นอกจากนี้ ในไตรมาส 3/2567 บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและค่าเสื่อม (Core EBITDA) เติบโต 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 12,036 ล้านบาท ยกระดับอัตราการทำกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และค่าเสื่อม (EBITDA Margin) เพิ่มขึ้นเป็น 28.6% จาก 27.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

การขยายตัวของอัตราการทำกำไรได้รับแรงผลักดันจากการเพิ่มประสิทธิภาพ ผลตอบแทนผ่านการบริหารช่องทางในการจัดจำหน่ายช่องทางจองโรงแรมโดยตรงที่เพิ่มสูงขึ้น และการดึงดูดลูกค้าให้เข้ามารับประทานอาหารในร้านอาหารเพิ่มขึ้น

โดยเฉพาะพร้อมด้วยการควบคุมต้นทุนอย่างมีวินัยและการเพิ่มประสิทธิภาพในส่วนของการดำเนินงานส่วนกลาง ด้วยการใช้ประโยชน์จากการประหยัดจากขนาด (Economies of Scale) ทั่วทั้งกลุ่มโรงแรมและร้านอาหาร ทําให้ MINT สามารถบรรเทาแรงกดดันด้านเงินเฟ้อได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ความสามารถในการทํากำไรโดยรวมเพิ่มขึ้น

MINT งบการเงินไตรมาส 3/67 และ 9 เดือนแรกปี 67

กำไรสุทธิจากการดำเนินงานในไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 2,636 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตราการทำกำไรสุทธิอยู่ที่ 6.3% การเติบโตนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถเชิงกลยุทธ์ของ MINT ที่ได้รับประโยชน์จากการเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนและราคาห้องพักเฉลี่ยของกลุ่มโรงแรม การเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนและราคาห้องพักเฉลี่ยของกลุ่มโรงแรม ทำให้บริษัทได้รับประโยชน์จากการขับเคลื่อนของอุตสาหกรรมที่ดีขึ้น

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 รายได้จากการดำเนินงานของ MINT เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 124,277 ล้านบาท ปัจจัยหลักจากทั้งกลุ่มโรงแรมและร้านอาหาร ธุรกิจโรงแรมยังคงเพิ่มราคาห้องพักเฉลี่ยและอัตราการเข้าพักได้

ในขณะที่ธุรกิจร้านอาหารได้รับประโยชน์จากยอดขายโดยรวมทุกสาขา (TSS) ที่ เพิ่มขึ้นในตลาดหลัก และมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและค่าเสื่อมในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 เติบโต 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 33,623 ล้านบาท

โดยมีอัตราการทำกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและ ค่าเสื่อมจากการดำเนินงาน 27.1% ทั้งนี้ กำไรสุทธิจากการดำเนินงานสำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ 5,514 บาท เติบโต 19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นถึงการบริหารจัดการ โครงสร้างต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและการเติบโตเชิงกลยุทธ์จากความคิดริเริ่มใหม่ๆ

หากนับรวมรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในไตรมาส 3/2567 บริษัทมีรายได้ตามที่รายงาน 42,000 ล้านบาท เติบโต 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและค่าเสื่อมตามที่รายงานลดลง 12% เทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนเป็น 9,709 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิตามที่รายงานอยู่ที่ 149 ล้านบาท ลดลงจาก 2,144 ล้านบาท

หลักๆ มาจากผลกระทบทางบัญชีที่ไม่ใช่เงินสดจากการประเมินมูลค่าของตราสารอนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยง ท่ามกลางความผัน ผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ โดยค่าเงินบาทผันผวน 12% จากเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์ สหรัฐ และ 9% จากเทียบกับสกุลเงินยูโรในไตรมาสนี้

รายการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเป็นผลมาจากการป้องกันความเสี่ยงจากสกุลเงิน ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดำาเนินงานหลักหรือความสามารถในการทำกำไรที่แท้จริง เนื่องจากกำไรและขาดทุนที่ถูกบันทึกเหล่านี้จะหักกลบกันไปเมื่อสิ้นสุดสัญญาอนุพันธ์

สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 รายได้ตามที่รายงานของบริษัทเพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 124,473 ล้านบาท ในขณะที่กำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและค่าเสื่อมตามที่รายงานเพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 32,545 ล้านบาท กำไรสุทธิตามที่รายงานอยู่ที่ 4,119 ล้านบาท ลดลง 7%

เนื่องจากผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและการปรับปรุงทางบัญชีอื่นๆ ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว บริษัทใช้ตราสารป้องกันความเสี่ยง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการจัดการต้นทุนทางการเงิน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดหาเงินทุนในตลาดต่างๆ และเป็นการปรับสกุลเงินของแหล่งเงินทุนให้สอดคล้องกับแหล่งรายได้ ซึ่งจะทำให้ได้ประโยชน์จากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง

ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวล่าสุดระหว่างอัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้ในการซื้อขายเงินตราต่างประเทศที่มีการส่งมอบสินค้า ทันทีหรือไม่เกิน 2 วันทําการ (Spot Rate) และราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับระยะเวลาจนถึงครบกำหนดชำระหนี้ของสัญญา (Forward Curves) และการอ่อนค่าของค่าเงินบาทในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นแนวโน้มตรงข้ามกับไตรมาส 3 ที่ผ่านมาอาจส่งผลให้ในเดือนตุลาคม บริษัทจะมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวประมาณ 600 ล้านบาท

ไมเนอร์ โฮเทลส์ยังคงเป็นธุรกิจหลักซึ่งมีรายได้จากการดำเนินงานคิดเป็น 81% และมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหัก ดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและค่าเสื่อม 84% และมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 67% ของรายได้จากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567

แนวโน้มไตรมาส 4/67

ธุรกิจโรงแรมในทวีปเอเชียพร้อมตอบสนองความต้องการการเดินทางของนักท่องเที่ยวเมื่อเข้าสู่ไตรมาส 4/2567 ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว โดยปริมาณการจองโรงแรมที่สูงกว่าในช่วงปีที่แล้ว จากการฟื้นตัวของจํานวนเที่ยวบินและความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวของสนามบินที่เพิ่มขึ้นใน ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 เห็นได้จากการจราจรทางอากาศที่ดำเนินการ โดยสายการบินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้น 18.5% จากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

การจองโรงแรมล่วงหน้าสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการการเดินทางที่แข็งแกร่งในแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญในช่วงเทศกาลและวันหยุด จากนักเดินทางที่แสวงหาประสบการณ์ระดับพรีเมียมในสถานที่ยอดนิยม เช่น กรุงเทพฯ และ ภูเก็ต โดยคาดว่าจะมีจํานวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น เมื่อเข้าใกล้ปลายปี บริษัทจึงได้ออกแบบแพ็คเกจ พร้อมนำเสนอประสบการณ์พิเศษต่างๆ ที่สามารถขับเคลื่อนรายได้ทั้งจากห้องพัก จากร้านอาหารและเครื่องดื่ม และบริการอื่นๆ

ทำให้แนวโน้มไตรมาส 4/2567 ยังคงแข็งแกร่ง ล่าสุด HBO เผยแพร่สถานที่ถ่ายทํา The White Lotus Season 3 ที่โรงแรม ของบริษัท อาทิ เช่น Four Seasons Resort ในสมุย ท่าให้ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับบนจากทุกมุมโลกให้เดินทางมาที่โรงแรมของบริษัท ทั้งในสมุย และภูเก็ต ตามรอยซีรีส์ดังกล่าว

สำหรับทวีปยุโรป การเดินทางเพื่อธุรกิจและการพักผ่อนยังคงแข็งแกร่ง โดยยอดจองโรงแรมของนักเดินทางกลุ่มองค์กรเพิ่ม สูงขึ้นในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน และยังคงมีความต้องการการเดินทางเพื่อการพักผ่อนต่อเนื่องไปจนถึงเดือนธันวาคม ในไตรมาส 4/2567 ส่วนของการจองโรงแรมล่วงหน้ามีแนวโน้มเติบโตด้วยตัวเลขหลักเดียวที่สูงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

กลยุทธ์การปรับปรุงสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง การเพิ่มรายได้จากช่องทางการจองโรงแรมโดยตรง และการขยายแบรนด์ในตลาดที่มีการเติบโตสูง ได้แก่ การเปิดตัวโรงแรมเอ็นเอช และเอ็นเอช คอลเลคชั่นในประเทศไทย ศรีลังกา มัลดีฟส์ และแอฟริกาใต้เมื่อเร็วๆ นี้

รวมถึงอวานีในอัมสเตอร์ดัม และอนันตราในอินเดีย ส่งผลให้บริษัทขยายตลาดในทำเลที่มีความต้องการสูง สามารถดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่หลากหลาย เพื่อให้ไมเนอร์ โฮเทลส์สามารถขับเคลื่อนการเติบโตด้านผลกำไรและขยายส่วนแบ่งการตลาดในปี 2568 และปีต่อๆ ไปได้อีกในอนาคต

นายดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด (มหาชน) หรือ MINT กล่าวถึงปัจจัยบวกในช่วงเดือนข้างหน้า โดยระบุว่า ธุรกิจที่อยู่ภายใต้พอร์ตโฟลิโอของบริษัทสามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายในช่วงเทศกาลวันหยุด ทั้งแคมเปญเชิงกลยุทธ์ควบคู่ไปกับการมอบประสบการณ์อันน่าจดจำ ทำให้บริษัทก้าวเข้าสู่ไตรมาสที่ 4/2567 อย่างมั่นใจในการสร้างความพึงพอใจให้กับแขกทุกคนที่มาพัก ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลการดำเนินงานที่โดดเด่นสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและพันธมิตรของบริษัท

“ความแข็งแกร่งทางการเงินของเรายังคงเป็นสิ่งสำคัญในอันดับต้นๆ ในไตรมาสนี้ เราสามารถลดหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยลงได้ถึง 7.6 พันล้านบาท ส่งผลให้งบดุลของเราแข็งแกร่งยิ่งขึ้น นอกจากนี้ เรายังมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเพิ่มเติม ส่งผลให้เงินปันผลทั้งหมดที่จ่ายในปี 2567 คิดรวมเป็น 0.57 บาทต่อหุ้น สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในการสร้างเงินสดจากธุรกิจของเรา และความมุ่งมั่นในการสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น”

เสถียรภาพทางการเงิน

ในปี 2568 บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะลดภาระหนี้และสร้างเสถียรภาพทางการเงินในไตรมาส 4/2567 บริษัทตั้งเป้าหมายการ ช่าระหนี้เพิ่มเติมโดยใช้กระแสเงินสดในไตรมาสล่าสุด เพื่อให้มั่นใจว่าท่ามกลางความผันผวนของค่าเงิน ระดับหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยยังคงสามารถลดลงอย่างต่อเนื่อง

ด้วยวินัยทางการเงินนี้ ทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นในการลงทุนยกระดับพัฒนาสินทรัพย์ รวมถึงโครงการที่อยู่อาศัย การเปิดร้านอาหารใหม่ๆ และความร่วมมือกับพันธมิตรที่สามารถสร้างผลตอบแทนสูง ทั้งหมดนี้จะช่วยสนับสนุนให้บริษัทเดิบโดในระยะยาว

นอกจากความมุ่งมั่นในการสร้างวินัยทางการเงินแล้ว ไมเนอร์ โฮเทลส์ ยุโรปและอเมริกา (MHEA) ยังได้รับการปรับระดับการ จัดอันดับเครดิดจากมูดีส์ (Moody's) ด้วยอันดับเครดิตองค์กรระยะยาวสำหรับกลุ่มบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น Ba3 จาก B1

และหุ้นกู้มี ประกันไม่ด้อยสิทธิ จํานวน 400 ล้านยูโรของบริษัทได้รับการปรับระดับการจัดอันดับเป็น Ba2 การปรับอันดับนี้เน้นให้เห็นถึงการ พัฒนาตัวชี้วัดทางการเงินของไมเนอร์ โฮเทลส์ ยุโรป และอเมริกา อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการได้รับการสนับสนุนจาก MINT ทั้งด้านการดำเนินงานและการเงิน ดอกย้ำความมุ่งมั่นในระยะยาวที่จะลดภาระหนี้สินและเพิ่มเสถียรภาพทางการเงินจนถึงปี 2569