สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ปรากฎการณ์ “Black Monday” หรือ “วันจันทร์ทมิฬ” เมื่อวันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา ทำให้หุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่สูญเสียมูลค่าตลาดไปประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์
ตลาดหุ้นโดยรวมปรับตัวลดลงในวันจันทร์ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เกิดจากข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าผิดหวังเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ส่งผลให้ดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นลดลง 12% ในวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่การล่มสลายของตลาดหุ้นใน “Black Monday” ปี 1987 ที่ Wall Street Bitcoin ตกลงถึง 11% นำไปสู่การขายสินทรัพย์คริปโตเคอร์เรนซีและหุ้นที่เกี่ยวข้อง
ขณะที่ดัชนี Dow Jones Industrial Average ปรับตัวลงมากที่สุดในรอบเกือบสองปี เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งผลให้เกิดการขายหุ้นทั่วโลก
ดัชนี Dow Jones ลดลง 1,033.99 จุด หรือ 2.6% ปิดที่ 38,703.27 จุด ขณะที่ Nasdaq Composite ลดลง 3.43% ปิดที่ 16,200.08 จุด และ S&P 500 ร่วงลง 3% ปิดที่ 5,186.33 จุด ซึ่งทั้ง Dow และ S&P 500 บันทึกการขาดทุนรายวันมากที่สุดตั้งแต่เดือนกันยายน 2022
ความกลัวเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการล่มสลายของตลาดโลกหลังจากรายงานตัวเลขการจ้างงานในเดือนกรกฎาคมที่น่าผิดหวังเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นักลงทุนยังคงกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจล่าช้าในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยที่ธนาคารกลางยังคงเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงที่สุดในรอบสองทศวรรษเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ในภาคเทคโนโลยี นักลงทุนเริ่มมีความกังวลมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์แล้ว โดยดัชนี Nasdaq ลดลง 3.4% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงสามสัปดาห์ที่แย่ที่สุดในรอบสองปี ก่อนที่จะลดลงอีก 3.4% ในวันจันทร์ Amazon, Alphabet และ Microsoft ต่างก็มีรายงานที่ทำให้ Wall Street กังวล ส่งผลให้หุ้นอื่น ๆ ในกลุ่มเดียวกันปรับตัวลดลงตามไปด้วย
บทวิเคราะห์ของ Goldman Sachs เมื่อเดือนมิถุนายนเตือนว่าบริษัทที่ใช้จ่ายมากที่สุดยังไม่มีผลลัพธ์ที่ชัดเจนจากการลงทุนใน AI นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า Elliott Management ซึ่งเป็นกองทุนป้องกันความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก บอกกับลูกค้าว่า Nvidia กำลังอยู่ใน “ภาวะฟองสบู่” และความคลั่งไคล้ AI นั้น “ถูกพูดเกินจริง”