ราคาทองขาขึ้น ปี 67แตะ 2,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์

15 เม.ย. 2567 | 12:31 น.
อัปเดตล่าสุด :15 เม.ย. 2567 | 12:31 น.

หลักทรัพย์บัวหลวง ชี้ราคาทองขาขึ้น หลังเฟดส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงิน หนุนปริมาณซื้อขายสินค้า Futures อ้างอิงทองคำเพิ่ม 2 เดือนติด คาดการณ์ราคาทองช่วงที่เหลือเป็นบวก ราคาเป้าหมายปี 67 แตะ 2,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์

นายบรรณรงค์ พิชญากร กรรมการผู้จัดการอาวุโส กิจการค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 67 ถือเป็นปีที่ดีสำหรับทองคำจากปัจจัยบวก ทั้งการส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยของประธานเฟด รวมถึงความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางหลังอิสราเอลเดินหน้าโจมตีฮามาสต่อเนื่อง

นายบรรณรงค์ พิชญากร กรรมการผู้จัดการอาวุโส กิจการค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)

อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้น หนุนให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรใน Futures เพิ่มขึ้น สะท้อนผ่านปริมาณซื้อขาย Futures อ้างอิงทองคำของหลักทรัพย์บัวหลวง ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2 เดือนติด โดยเดือน ม.ค. 67 เพิ่มขึ้น 2.5% และเดือนก.พ. 67 เพิ่มขึ้น 5.2% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า

ขณะที่ปริมาณซื้อขายรวมของตลาดในเดือนม.ค. 67 เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า แต่เดือนก.พ. 67 ปรับตัวลดลง 14.4% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดย Gold Online Futures สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าที่มีสินค้าอ้างอิงเป็นทองคำแท่งค่าความบริสุทธิ์ 99.5% เป็นสินค้าที่ได้รับความนิยม ตอบโจทย์การเก็งกำไรจากราคาทองคำในตลาดโลกโดยตรง สะท้อนด้วยปริมาณซื้อขายของบริษัทในเดือนก.พ. 67 ที่เพิ่มขึ้น 9.4% แม้ว่าปริมาณซื้อขายของตลาดจะลดลง 14.6%

สำหรับแนวโน้มราคาทองคำในช่วงที่เหลือของปี 67 ทีมวิจัยหลักทรัพย์บัวหลวง มีมุมมองเป็นบวก แม้จะมีแรงขายทำกำไรออกมาบ้าง โดยมองเป้าหมายราคาทองคำที่ระดับ 2,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ มี Upside ราว 2.2% นับจากราคาปิดวันที่ 1 เม.ย. 67 ที่  2,249.9 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยมีปัจจัยหลักสนับสนุน คือ

ราคาทองขาขึ้น ปี 67แตะ 2,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์

  1. มีแนวโน้มที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยในปี 67 คาดจะเริ่มเห็นการปรับลดครั้งแรกในช่วงกลางปี 67และจะปรับลดต่อเนื่องถึง 3 ครั้ง สู่ระดับ 4.50-4.75% จากปัจจุบันดอกเบี้ยอยู่ที่ 5.25-5.50%
  2. ธนาคารกลางทั่วโลกมีแนวโน้มเข้าซื้อทองคำต่อเนื่องในปี 67 ซึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้เพิ่มการถือครองทองคำอย่างมีนัยสำคัญ ปี 65 ซื้อ 1,082 ตัน และปี 66 ซื้อ 1,037 ตัน โดยจีนมีปริมาณทองคำสำรองเพิ่มขึ้น 15% จาก 1,948 ตัน เป็น 2,235 ตัน ขณะที่อินเดียมีปริมาณทองคำสำรองเพิ่มขึ้น 6.6% จาก 754 ตัน เป็น 804 ตัน
  3. ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ปัจจุบันสถานการณ์ในตะวันออกกลางยังมีความรุนแรง และไม่มีทีท่าจบใน เร็ว ๆ นี้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยได้อย่างดี
  4. การเลือกตั้งเดือนพ.ย. 67 ของสหรัฐฯ หาก “โดนัลด์ ทรัมป์” ได้รับการเลือกกลับเข้ามาเป็นประธานาธิบดี อาจเกิดความไม่แน่นอนของนโยบายด้านต่าง ๆ รวมทั้งด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยเฉพาะกับจีนมีโอกาสทำให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำเพื่อป้องกันความไม่แน่นอนที่มีโอกาสเกิดขึ้นในอนาคต
  5. เศรษฐกิจในเอเชียที่ฟื้นตัวอาจหนุนความต้องการบริโภคจิวเวลรี่และการบริโภคในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 55.4% ของความต้องการทองคำทั้งหมดในปี 66

ทั้งนี้ราคาทองคำที่มีแนวโน้มเป็นขาขึ้น เราแนะนำนักลงทุนสร้างโอกาสเก็งกำไรในทองคำ ผ่านสินค้า Futures ที่อ้างอิงทองคำตลาดโลก ประเภท Gold Online Futures ซึ่งอ้างอิงทองคำแท่งที่มีความบริสุทธิ์ 99.5% และซื้อขายกันด้วยสกุลดอลลาร์สหรัฐต่อน้ำหนักทองคำ 1 ทรอยออนซ์เช่นเดียวกับราคาทองคำในตลาดโลก ไม่มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ง่ายและสะดวกต่อการซื้อขายสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรจากความผันผวนของราคาทองคำโลกโดยตรงและไม่ต้องการรับมอบหรือส่งมอบทองคำจริง

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 44 ฉบับที่ 3,983 วันที่ 14 - 17 เมษายน พ.ศ. 2567