SCB WEALTH แนะกอง " RMF-SSF-Thai ESG" ลงทุนรับประโยชน์ภาษีโค้งสุดท้าย

22 ธ.ค. 2566 | 12:15 น.

SCB WEALTH หนุนเร่งลงทุนกอง RMF-SSFและ Thai ESG เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีแนะกระจายพอร์ตใน-ตปท. มองปัจจัยหนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังสร้างผลตอบแทนต่อเนื่อง คาดปีหน้า Fed ลดดบ.มากกว่า 3 ครั้ง ส่วนตลาดหุ้นไทย มูลค่าค่อนข้างถูกมาก รอโฟลว์ไหลกลับ

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA SCB Wealth Chief Investment Officer ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย Investment Office and Product Function กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายสำหรับการลงทุนในกองทุนเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีในปี 2566  ขอแนะนำนักลงทุนที่มีรายได้ ต้องเสียภาษี ให้ลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)   กองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF)   และกองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG)  ตามสิทธิที่มี เพื่อลดหย่อนภาษีตามฐานภาษีของแต่ละบุคคล ฐานภาษีขอแต่ละบุคคล ทั้งยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน เมื่อลงทุนครบตามกำหนดเงื่อนไข ซึ่งการลงทุนในกองทุนดังกล่าวเป็นการสร้างวินัยการออม เพื่อสร้างฐานะทางการเงินที่มั่นคง และมั่งคั่งในอนาคต หรือในวัยเกษียณ

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA SCB Wealth Chief Investment Officer ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่  ธนาคารไทยพาณิชย์

“การลงทุนควรมีการกระจายความเสี่ยงในหลากหลายสินทรัพย์ เช่น กองทุน RMF  และ SSF  สามารถเลือกลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้ ส่วน ThaiESG ลงทุนเฉพาะหุ้นและตราสารหนี้ไทยที่เข้าเกณฑ์ ESG   เพื่อให้พอร์ตลงทุนมีเสถียรภาพ และลดความผันผวนได้ ”
 

สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย มีมูลค่าหุ้นค่อนข้างถูกมากเมื่อเทียบกับในอดีต แต่กำลังอยู่ระหว่างรอเงินลงทุนจากต่างประเทศ ที่จะไหลกลับเข้ามา จากปัจจัยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ และไทย ที่เริ่มแคบลง ที่ทำให้ค่าเงินบาทเริ่มมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น  โดยคาดว่าจะส่งผลให้เงินลงทุนจะไหลกลับเข้ามาทั้งในตลาดตราสารหนี้ และตลาดหุ้นในปี 2567

ส่วนตลาดต่างประเทศ ที่เหมาะสำหรับการลงทุนใน RMF - SSF ในช่วงเวลานี้ ได้แก่ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีปัจจัยบวกสนับสนุนหลายประการ ประเด็นหลัก ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่หยุดขึ้นแล้ว และมีแนวโน้มจะปรับลดลงในปี 2567 โดย Fed Dot Plot คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะปรับลดประมาณ 3 ครั้งในปีหน้า  ขณะที่ตลาดคาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ยมากกว่า 3 ครั้ง ส่งผลสะท้อนทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (bond yield) ของสหรัฐฯ ลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ความสามารถในการสร้างผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ดีขึ้น  เราจะได้เห็นการปรับเพิ่มประมาณการผลประกอบการของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เกิดขึ้นต่อเนื่อง

 

 

เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป (soft landing)   โดยพิจารณาเครื่องชี้วัดเศรษฐกิจ พบว่า ภาคบริการ และ การจ้างงาน  ยังมีตัวเลขที่ออกมาดูดี เป็นแรงสนับสนุนเศรษฐกิจ แม้ว่าภาคการผลิตจะหดตัวก็ตาม ในส่วนของเม็ดเงินลงทุน ปัจจุบันพบว่านักลงทุนรายย่อย ยังลงทุนอยู่ในตลาดเงิน (money market) ค่อนข้างมาก ขณะที่นักลงทุนสถาบันเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ มากขึ้น  ซึ่งโดยปกติ การเคลื่อนย้ายเงินทุนของรายย่อยจะช้ากว่านักลงทุนสถาบัน ดังนั้น ถ้าตัวเลขต่างๆ ดีขึ้น เงินเฟ้อทยอยปรับเข้าสู่กรอบนโยบาย  เชื่อว่าจะมีเม็ดเงินของนักลงทุนรายย่อยจาก money market ไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นสหรัฐฯเพิ่มเติมได้   และเมื่อพิจารณาข้อมูลในอดีต จะเห็นว่าว่า ทุกครั้งที่ Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ย ในช่วง 12 เดือนหลังจากนั้น หุ้นสหรัฐฯ นำโดยตลาดหุ้น S&P500 จะทำผลงานได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว 

ปัจจัยเสี่ยงสำหรับการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ที่ควรระมัดระวัง คือ ประเด็นการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่จะมีในช่วงปลายปี 2567 เนื่องจากทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง จะมีเรื่องนโยบายที่ต้องจับตามอง ในกรณีที่พรรครีพับลิกันได้ชัยชนะ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้คะแนนเสียงมากขึ้น ภาพนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ อาจจะเปลี่ยนไปจากปัจจุบัน เป็นในลักษณะ Aggressive มากขึ้น เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นช่วงที่ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีก่อนหน้านี้ รวมทั้งเราอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับนโยบายด้าน ESG ด้วย ดังนั้น  จึงเป็นปัจจัยที่ตลาดต้องระมัดระวังความผันผวนที่จะเกิดตามมา ขณะเดียวกันก็ต้องจับตา การเลือกตั้งในพื้นที่อื่น เช่น ไต้หวัน ที่ต้องติดตามเกี่ยวกับท่าทีของสหรัฐฯ ที่อาจทำให้เกิดความผันผวนตามมาได้   

สำหรับกองทุนที่แนะนำประเภท RMF และ SSF ในส่วนของกองทุนหุ้นสหรัฐฯ  ได้แก่ SCBRMS&P500   ที่มีความเสี่ยงระดับ 6 หรือเสี่ยงสูง และ SCBS&P500-SSF ที่มีความเสี่ยงระดับ 6 เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการกระจายลงทุนหุ้นสหรัฐฯ หลากหลายกลุ่มธุรกิจ ด้วยการลงทุนผ่านกองทุนดัชนีที่ลงทุนใน 500 บริษัทชั้นนำในสหรัฐฯ อ้างอิงดัชนี S&P 500 กองทุน SCBRMNDQ(A) ที่มีความเสี่ยงระดับ 6  และกองทุน SCBNDQ–SSF ที่มีความเสี่ยงระดับ 6 ที่ลงทุนผ่านกองทุนดัชนีหุ้น100บริษัทในสหรัฐฯ  โดยอ้างอิงดัชนี NASDAQ 100 ในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี    

ส่วนกองทุน RMF สำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายพอร์ตบางส่วนลงทุนในหุ้นไทย แนะนำกองทุน SCBRM4 ที่มีความเสี่ยงระดับ 6  ลงทุนในหุ้นไทยปัจจัยพื้นฐานดี และมีสภาพคล่องสูง  และกองทุน SSF  แนะนำ  SCBLT1 -SSF ที่มีความเสี่ยงระดับ 6  มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพ 30%  และลงทุนในหุ้นไทย ที่มีนโยบายปันผลสม่ำเสมอ 70% ทางด้านกองทุน Thai ESG  แนะนำ  SCBTM ที่มีความเสี่ยงระดับ 5 คือเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง เป็นกองทุนผสม ที่ลงทุนในหุ้น และตราสารหนี้ไทยที่ยั่งยืนแบบยืดหยุ่นตามจังหวะของตลาด

เงื่อนไขการลงทุน RMF- SSF-ThaiESG

สำหรับเงื่อนไขการลงทุน RMF ซื้อได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษีต่อปี และสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอื่นๆ ได้แก่  กองทุน SSF กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ประกันชีวิตแบบบำนาญ กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน และกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) โดยต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี แต่เว้นได้ไม่เกิน 1  ปีติดต่อกัน  ไม่ขายคืนหน่วยลงทุนจนกว่าจะมีอายุ 55 ปีบริบูรณ์  และต้องลงทุนต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 5 ปีเต็ม ลงทุนปีไหนได้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีในปีนั้น

ส่วนกองทุน SSF  ซื้อได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษีต่อปี และ สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท  เมื่อรวมกับ กองทุน  RMF, PVD, กบข., ประกันชีวิตแบบบำนาญ, กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน และ กอช. จะต้องไม่เกิน 500,000 บาท  ไม่มียอดซื้อขั้นต่ำ  และไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องทุกปี  แต่ต้องถือครอง 10  ปี  นับจากวันซื้อ (แบบวันชนวัน)

นอกจากนี้  กองทุน ThaiESG สามารถนำยอดซื้อลงทุน ไปหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษีต่อปี และสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท โดยไม่นับรวมกับวงเงิน 500,000 บาท จากกองทุนการออมเพื่อการเกษียณ ทั้ง กองทุน SSF, RMF, PVD, กบข., ประกันชีวิตแบบนำนาญ, กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน และ กอช. ไม่มียอดซื้อขั้นต่ำ  และไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องทุกปี โดยต้องถือครอง 8 ปี แบบจากวันที่ซื้อ