นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงปัญหา บมจ. สินมั่นคงประกันภัย ว่า ในเร็วๆ นี้ จะมีการเตรียมหารือกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ถึงแนวทางการกำกับดูแลธุรกิจประกันทั้งประกันชีวิตและประกันวินาศภัย
พร้อมหาทบทวนบทบาทของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ว่าจะปรับแก้ไขแนวทางการกำกับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ มีช่องโหว่ และประเด็นใดที่ต้องการให้รัฐบาลเข้าไปช่วยเหลือเพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชน
“แม้ผมไม่ได้กำกับดูแล คปภ.โดยตรง แต่รับทราบปัญหาที่เกิดขึ้นกับธุรกิจประกัน จึงจะนำปัญหาของธุรกิจประกันไปหารือกับนายกรัฐมนตรี เพื่อให้มีข้อสั่งการในการดำเนินการ และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนผู้ทำประกันทั้งระบบ”
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ประเด็นปัญหาของกองทุนประกันวินาศภัย ที่ยังมียอดค้างชำระหนี้เคลมโควิดประมาณ 60,000 ล้านบาทนั้น คปภ.อยู่ระหว่างการตรวจสอบตามขั้นตอนกฎหมาย เพื่อจ่ายเคลมให้กับผู้ทำประกันโควิด
อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบต้องใช้เวลาดำเนินการ ประกอบกับเงินกองทุนประกันวินาศภัยมีเพียง 6,000 ล้านบาท มีเงินไหลเข้ากองทุนปีละ 600-700 ล้านบาท จากการจัดเก็บเงินสบกองทุน 0.25% ของเบี้ยประกันภัยที่บริษัทรับมาแต่ละปี ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อการจ่ายเงินเคลมประกันโควิด
ทั้งนี้ คปภ.ได้เสนอทางออกด้วยการเสนอแก้ไขกฎหมาย เพิ่มเงินสมทบกองทุนเป็น2.50% จากเดิม 0.5% แต่ยังไม่ได้รับการพิจารณา อย่างไรก็ตาม การสมทบเงินกองทุนประกันวินาศภัยของรัฐบาลนั้น ในปี 67 รัฐบาลได้จัดสรรเงินงบประมาณให้3,000-4,000 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องกองทุน เพื่อนำเงินมาจ่ายค่าเคลมประกันคงค้าง แต่ยังไม่เพียงพอที่จะจ่ายเคลม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาแนวทางเพื่อแก้ปัญหาธุรกิจประกันทั้งระบบ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ทำประกัน
รายงานข่าวแจ้งเพิ่ม กรณี คปภ.ได้สั่งให้ บมจ. สินมั่นคง ประกันภัย หยุดรับประกันใหม่ขณะนี้สินมั่นคง มีหนี้สิน จากยอดเคลมประกันโควิดเจอจ่ายจบมูลหนี้ 30,000 ล้านบาท และหนี้ลูกค้าประกันทั่วไป 2,000 ล้านบาท หากมีการเพิกถอนใบอนุญาตของสินมั่นคงและมีการโอนหนี้ไปให้กองทุนประกันวินาศภัยทั้งหมด จะทำให้ภาระหนี้ของกองทุนอาจสูงถึง 90,000 ล้านบาท