ดร.นิเวศน์ : Struggle

26 พ.ย. 2566 | 07:07 น.
1.4 k

นักลงทุนในตลาดหุ้นไทยจำนวนมากในช่วงนี้ถ้าถูกถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง” ผมอยากจะตอบเป็นภาษาอังกฤษด้วยคำ ๆ เดียวคือ กำลัง “Struggle” ซึ่งดิกชันนารีของไทยแปลออกมาว่า “ต่อสู้ ดิ้นรน ฝ่าฟัน แข่งขัน ตะเกียกตะกาย”

Struggle : ความหมายในภาษาอังกฤษที่อธิบายคำ ๆ นี้ก็มักจะพูดถึงการต่อสู้ทางการเมือง การทหาร การปฏิวัติ ที่สิ้นหวัง  ขมขื่น ยากลำบากและยาวนาน โดยไม่รู้ว่าจะเอาตัวรอดได้ไหม เป็นต้น ซึ่งผมเองคิดว่าคนที่ลงทุนในหุ้นไทยอยู่ในช่วงนี้ก็คงมีอาการคล้าย ๆ กันคือกำลัง Struggle
เริ่มจากนักลงทุนส่วนบุคคลรายใหญ่ ๆ  ซึ่งมักจะได้ฉายาว่าเป็น “เซียนหุ้น” ทั้งเก่าและใหม่ที่หุ้นตกรอบนี้  ซึ่งโดยภาพรวมนั้นก็ไม่ถึงกับเป็นภาวะตลาดหุ้นวิกฤติที่หุ้นมักจะตกลงมาแรงในระดับ 30-50% แต่กลุ่มหุ้นที่เคยมีการ “เก็งกำไรร้อนแรง” ทั้งหุ้นดีแนวซุปเปอร์สต็อกหรือหุ้นเติบโต  แนวหุ้นปั่นหรือหุ้นที่ถูกคอร์เนอร์  หรือหุ้นที่เป็นทุกอย่างที่กล่าว ต่างก็ตกลงมาอย่างหนัก ในระดับ “หายนะ” 30-50% เช่นกัน ซึ่งทำให้ขาใหญ่หรือเซียนหุ้นที่มักจะถือหรือเล่นหุ้นเหล่านั้น  เจ็บตัวอย่างที่แทบไม่เคยประสบมาก่อนในรอบสิบปีหรือมากกว่านั้น

พอร์ตหุ้นที่เคยใหญ่โต ช่วงหนึ่งบางคนเคยสูงหลายพันล้านบาท จนคนเริ่มจะเรียกว่า “เซียนหุ้นหมื่นล้าน”  ตอนนี้ก็อาจจะตกลงมาเหลือ  “ระดับพันล้าน” และบางทีเจ้าตัวก็อาจจะกำลัง Struggle ว่ามันจะลงไปอีกแค่ไหน  คนที่มีพอร์ตพันล้านบาทเองก็อาจจะรู้สึกร้อน ๆ  หนาวว่าเดี๋ยวนี้เหลือหลักร้อยแล้ว ไม่รู้ว่ามันจะตกลงไปอีกแค่ไหน ที่สำคัญก็คือหุ้นที่ถืออยู่ก็อาจจะขายไม่ได้  เพราะปริมาณการซื้อขายลดลงไปมาก  บางทีก็อาจจะเพราะเกิดอาการ “คอร์เนอร์แตก” นักลงทุนรายย่อยหยุดเล่นและหายไปมาก ขายไปก็ไม่มีคนรับและยิ่งทำให้หุ้นตกหนักลงไปอีก  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  หุ้นที่ถืออยู่อาจจะติด “มาร์จิน” ซึ่งอันตรายมากถ้าหุ้นจะตกลงไปอีกและถูกบังคับขาย  ฃนั่นก็จะเป็นหายนะที่แท้จริงที่อาจจะทำให้กลายเป็น  “เซียนหุ้นเยสเตอร์เดย์”  ได้

 

นักลงทุนรายเล็ก ๆ  เองนั้น  ก่อนหน้านี้ถึงแม้หุ้นโดยรวมอาจจะตกมากอยู่แล้ว  แต่พวกเขาจำนวนมากก็ยังมีความหวังและความสนุกจากการเล่นหุ้นรายวันได้  เพราะหุ้นเก็งกำไรจำนวนไม่น้อยก็ยังแสดง  “อภินิหาร”  รายวัน  อย่างน้อยวันละ 4-5 ตัว  การเล่นยังมีกำไรและขาดทุน  ยังมีคำพูดประเภท  “เล่นหุ้น XXXX วันนี้วันเดียวได้มา 200,000 บาท ควรเลิกทำงานหันมาเล่นหุ้นเป็นอาชีพดีไหม?” แต่ในช่วงหลัง ๆ  นี้  ดูเหมือนว่าจะมีแต่คำก่นด่าคนที่มีหน้าที่ดูแลตลาดหุ้นว่าไม่ทำอะไรในยามที่หุ้นตกลงทุกวัน

แม้แต่หุ้น IPO ที่เคยเป็น “ของตาย” ที่จะต้องขึ้นและมักจะขึ้นแรงระดับบางทีเป็น ร้อย ๆเปอร์เซ็นต์ในวันแรกที่เข้าตลาด  ในตอนหลังก็ขาดทุน  บ่อยครั้งหลายสิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งผมเองก็ไม่เคยเจอมาก่อนตั้งแต่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นหลายสิบปีที่ผ่านมา   ซึ่งทำให้ตลาด IPO ที่เคยร้อนแรงมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา  “วาย” ไปแล้ว  ดังนั้น  ในช่วงนี้  นักลงทุนรายย่อยก็คงกำลัง Struggle กันเป็นแถว

นักลงทุนที่ไปลงทุนต่างประเทศเองที่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมากนักในด้านผลตอบแทน  เพราะตลาดหุ้นต่างประเทศที่คนไทยนิยมไปลงทุนนั้น  มีทั้งที่ดีและแย่ปะปนกันไป  โดยตลาดหุ้นที่ไปลงทุนกันมากคืออเมริกานั้น  ค่อนข้างจะดีมาก ขณะที่ตลาด ฮ่องกงที่คนไปลงทุนน้อยนั้นค่อนข้างแย่  แต่คนที่ไปก็ยังมีความหวังในอนาคตเพราะบริษัทมีกำไรพอใช้และราคาหุ้นถูกมาก  ในขณะที่หุ้นเวียตนามนั้น  ถึงแม้ว่าช่วงเร็ว ๆ  นี้หุ้นจะตกมาก  แต่ถ้านับจากต้นปีก็ยังบวกถึงประมาณ 10%  และคนที่ลงทุนในเวียตนามก็ยังมีความหวังเต็มเปี่ยมและไม่หนีไปไหน

อย่างไรก็ตาม  การประกาศเก็บภาษีการลงทุนหุ้นต่างประเทศอย่างหนักโดยแทบไม่ให้มีเวลาปรับตัว  ก็ทำให้นักลงทุนต่างก็ต้อง  Struggle  ว่าจะต้อง “ดิ้น” อย่างไรที่จะไม่ให้เสียภาษีย้อนหลัง  และอนาคตจะทำอย่างไรกับการลงทุนในต่างประเทศที่พวกเขาคิดว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว  เพราะหลังจากที่ทางการยอมยกเว้นให้กำไรจากการลงทุนที่ทำก่อนปี 2567 ไม่ต้องเสียภาษีถ้านำเงินเข้าไทยในปี 2567 ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2566 นักลงทุนในหุ้นต่างประเทศก็ต้องรีบ “เคลียร์หุ้น” ภายในเวลาเพียงเดือนครึ่งที่เหลืออยู่นอกจากนั้น  ดูเหมือนว่าในระยะเวลาต่อไป  อาจจะอีกซัก 1-2 ปี ก็อาจจะมีการแก้กฎหมายให้การลงทุนในต่างประเทศต้องเสียภาษีกำไรจากการลงทุนไม่ว่าจะนำเงินกลับเข้าไทยหรือไม่  นี่ก็ทำให้เกิดความ “ว้าวุ่น” กันไปทั่ว

ในด้านของผู้คุมกฎและดูแลตลาดหุ้น  เฉพาะอย่างยิ่งก็คือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและกลต. นั้น  ตลาดหุ้นที่ตกลงมาแรงรอบนี้ได้ทำให้เกิดกระแสร้องเรียนและกล่าวโทษว่าเป็นเพราะตลาดอนุญาตให้มีการทำ Naked short sale คือให้พวกนักลงทุนรายใหญ่เฉพาะอย่างยิ่งจากต่างประเทศ  ขายหุ้นที่ไม่ได้มีอยู่ในมือเพื่อทำให้ราคาหุ้นตกลงมาแรงและกลับเข้าไปซื้อหุ้นในราคาถูก  ทำกำไรแบบ “จับเสือมือเปล่า” ได้อย่างง่ายดายโดยที่รายย่อยขาดทุนอย่างย่อยยับ

เช่นเดียวกัน  นักลงทุนรายใหญ่โดยเฉพาะจากต่างประเทศ อาศัยการซื้อขายหุ้นโดยใช้หุ่นยนต์เทรดหุ้นจำนวนมากด้วยความเร็วสูงและจ่ายค่าคอมมิชชั่นต่ำมาก  เป็นการเอาเปรียบนักลงทุนไทย  ซึ่งทำให้นักลงทุนไทยรวมถึงนักลงทุนรายใหญ่เสียเปรียบและขาดทุนจนแทบจะต้องเลิกเล่น ข้อกล่าวหาทั้งหมดนั้น  ทำให้ผู้คุมกฎต้องออกมาแถลงแก้และหาทางปรับปรุงจุดอ่อนถ้ามี  และด้วยพลังของการสื่อสารในยุคสมัยนี้ก็อาจจะทำให้เจ้าหน้าที่รู้สึกถูกกดดันอย่างแรง  พูดง่าย ๆ  ก็คือ  Struggle ที่จะ  “เอาตัวรอด” จากกระแสการโจมตีในช่วงนี้

ในมุมของนักลงทุนระยะยาวมาก ๆ  อย่างตัวผมเอง  ก็รู้สึกว่าช่วงนี้เป็นช่วงของความยากลำบาก  เป็นเรื่องที่รู้สึกว่ากำลัง Struggle   ไม่ใช่เพราะเหตุการณ์หุ้นตกแรงในปีนี้ซึ่งโดยปกติเราจะไม่รู้สึกอะไรมาก  เพราะเรื่องหุ้นตกแรงบางปีนั้น  เป็นเรื่องธรรมดา  แต่พอใกล้ถึงสิ้นปีนี้  เรื่องแรกที่ต้องดิ้นรนก็คือ พอร์ตมีโอกาสขาดทุนสูง  จะรอดไหม?  เพราะปรัชญาหลักของผมก็คือ  ลงทุนต้องพยายามไม่ให้ขาดทุน

Struggle อีกเรื่องหนึ่งก็คือ  อนาคตระยะยาวของการลงทุนของเราจะไปต่ออย่างไร  หลายปีมานี้การลงทุนในตลาดหุ้นก็แทบไม่ได้ผลตอบแทนเลย  ความคิดก็คือ จะลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นหลักต่อไปเรื่อย ๆ  โดยหวังว่าผลตอบแทนของตลาดจะดีขึ้น  หรือเลือกหุ้นที่จะให้ผลตอบแทนดี ๆ เหนือตลาดมาก ๆ  ในระยะยาวจะยังทำได้แค่ไหน?  ในขณะที่การลงทุนในต่างประเทศก็อาจจะมีอุปสรรคมากขึ้นเรื่อย ๆ  จากกฎเกณฑ์เรื่องภาษีจนอาจจะไม่คุ้มที่จะไป

ดูเหมือนว่าสิ่งที่เคยทำมาตลอดเกือบ 30 ปี  สำหรับผม อาจจะต้องถึงเวลาเปลี่ยนไป  การลงทุนช่วง 7 ปีแรกที่ผมยังทำงานเป็นพนักงานประจำกินเงินเดือนนั้น  ผมทำคนเดียวและใช้เวลาน้อยมากแค่หลังงานเลิก  ต่อมาเมื่อมีอิสรภาพทางการเงินกลายเป็นนักลงทุนอาชีพที่อายุเกิน 50 ปีแล้ว ผมก็ยังทำงานลงทุนคนเดียวพร้อม ๆ  กับการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการลงทุน  โดยแทบไม่เคยต้อง Struggle  และทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดีและมีความสุข  ผลตอบแทนที่ได้ก็ดีมากและสม่ำเสมอ  ส่วนสำคัญก็เพราะตลาดหุ้นเอื้ออำนวยและกฎเกณฑ์ของประเทศโดยเฉพาะทางด้านภาษีนั้น  ดีและคาดการณ์ได้  เช่นเดียวกับกิจการบริษัทจดทะเบียนที่แข็งแกร่งและเติบโต

ทั้งหมดนั้นอาจจะกำลังเปลี่ยนแปลงไป  และอาจจะทำให้การทำแบบเดิมและประสบความสำเร็จแบบเดิมเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป  และก็จะต้อง Struggle ไปเรื่อย ๆ  แต่ผมก็ยังไม่รู้ว่าแนวทางใหม่นั้นจะเป็นอย่างไร  อนาคตนั้นไม่มีใครรู้  แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นนิรันดร์  หน้าที่ของเราก็คือพยายามไหลไปกับการเปลี่ยนแปลงและเอาตัวให้รอดให้ได้