คลังจัดสินเชื่อคืนถิ่น 2 พันล้าน เติมทุนแรงงานไทยจากอิสราเอล

31 ต.ค. 2566 | 13:33 น.
อัปเดตล่าสุด :31 ต.ค. 2566 | 13:34 น.

คลังจัดสินเชื่อคืนถิ่นแรงงานไทยกลับจากอิสราเอล 2,000 ล้านบาท ผ่านกลไก “ออมสิน-ธ.ก.ส.” กู้ได้สูงสุด 1.5 แสนบาท ดอกเบี้ยต่ำ ปลอดจ่ายเงินต้นนาน 12 เดือน

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศอิสราเอลที่มีแนวโน้มยืดเยื้อและขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งรวมถึงแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานอยู่ในประเทศดังกล่าวได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต หรือถูกจับเป็นตัวประกัน

โดยแรงงานไทยบางส่วนทยอยเดินทางกลับประเทศไทยก่อนครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาจ้าง ในขณะที่บางส่วนยังไม่ตัดสินใจเดินทางกลับ เนื่องจากยังมีความกังวลเกี่ยวกับรายได้ที่ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ภาระหนี้สินที่เกิดจากการเดินทางไปทำงานยังประเทศอิสราเอล รวมถึงการเริ่มต้นประกอบอาชีพภายหลังจากเดินทางกลับมาประเทศไทย

ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นคณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566 เห็นชอบโครงการสินเชื่อคืนถิ่นแรงงานไทย (อิสราเอล) โดยมีสาระสำคัญของโครงการ ดังนี้

โครงการสินเชื่อคืนถิ่นแรงงานไทย (อิสราเอล) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้แรงงานไทยที่ไปทำงานที่ประเทศอิสราเอลชำระหนี้ที่กู้ยืมสำหรับการไปทำงานที่ประเทศอิสราเอลและ/หรือเพื่อลงทุนประกอบอาชีพภายหลังจากเดินทางกลับมาประเทศไทย

"ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 2,000 ล้านบาท (แห่งละ 1,000 ล้านบาท) ให้แก่แรงงานไทยที่ไปทำงานที่ประเทศอิสราเอลที่ประกอบอาชีพเดิมคือค้าขาย"

  • กรณีอาชีพอิสระ (ขอสินเชื่อผ่านธนาคารออมสิน)
  • เกษตรกรหรือบุคคลในครัวเรือนเกษตรกร (ขอสินเชื่อผ่าน ธ.ก.ส.)
  • วงเงินสินเชื่อไม่เกินรายละ 150,000 บาท
  • คิดดอกเบี้ยลดต้นลดดอกในอัตราร้อยละ 1 ต่อปี (Effective Rate)
  • ปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 งวดแรก
  • ระยะเวลาชำระคืนเงินงวดสูงสุดไม่เกิน 20 ปี
  • สามารถยื่นขอสินเชื่อได้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2567

“สินเชื่อคืนถิ่นแรงงานไทย (อิสราเอล) จะสามารถช่วยเหลือแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากประเทศอิสราเอลผ่านแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำได้อย่างเพียงพอ ซึ่งจะมีส่วนช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้แรงงานไทยที่เดินทางกลับประเทศมีสภาพคล่องที่เพียงพอในการเริ่มต้นประกอบอาชีพหรือแบ่งเบาภาระหนี้สิน เพื่อบรรเทาและป้องกันความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นในระยะต่อไป”