“อัจฉริยะ” ร้อง “ดีเอสไอ” เปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวน หุ้น STARK

22 ก.ค. 2566 | 09:45 น.
อัปเดตล่าสุด :22 ก.ค. 2566 | 10:04 น.
562

“อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ “ ยื่นหนังสือร้องเรียน ดีเอสไอ ขอเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนและเลขานุการคณะพนักงานสอบสวน คดีหุ้นSTARK เนื่องจากเล็งเห็นว่ามีการถือสำนวนส่อไปในทางไม่สุจริต

ความคืบหน้าภายหลังจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI รับคดีการทุจริตใน บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น STARK  เป็นคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 66 ระยะเวลาช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ทาง DSI ได้เร่งดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานอย่างต่อเนื่อง และ ล่าสุด ได้ออกหมายจับผู้ต้องหาร่วม 3 ราย ประกอบด้วย นายชนินทร์ เย็นสุดใจ, นายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ และ นางสาวยสบวร อำมฤต

ล่าสุดในอีกด้านหนึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อขอเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนและเลขานุการคณะพนักงานสอบสวน คดีหุ้นSTARK เนื่องจากเล็งเห็นว่ามีการถือสำนวนส่อไปในทางไม่สุจริต และ อ้างว่าบุคคลดังกล่าวเป็นผู้มีความสนิทสนมกับผู้ต้องหาในคดี ทั้งยังเป็นภรรยาผู้ถือหุ้นใหญ่หากให้อยู่ทำคดีจะไม่เกิดความเป็นธรรมต่อผู้เสียหาย โดยมี เจ้าหน้าที่หน่วยบริการประชาชน กองบริหารคดีพิเศษ เป็นตัวแทนรับเรื่อง

นายอัจฉริยะ กล่าวว่า จากกรณีดังกล่าว มีการตรวจสอบพบว่าคณะกรรมการพิเศษคดีนี้ ปรากฏมีคนถือสำนวนคดีสตาร์ค 1 ราย ได้แก่นางป. (นามสมมุติ) เป็นคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษคดีสตาร์ค ซึ่งนาง.ป มีความสนิทสนมกับอดีตประธานกรรมการบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และอดีตประธานรายนี้อยู่ระหว่างการสอบสวน แต่ยังไม่ใช่ผู้ถูกกล่าวโทษใน 10 รายชื่อที่ ก.ล.ต.ร้องทุกข์ไว้ อีกทั้งอดีตประธานฯ ยังเป็นอดีตผู้บริหารระดับสูงของกรมสอบสวนคดีพิเศษอีกด้วย

 

นายอัจฉริยะ กล่าวเพิ่มเติมว่า  ตนเล็งเห็นว่าหากปล่อยให้นางป. ถือสำนวนนี้ จะก่อให้เกิดความเสียหายจำนวนมาก และภาพลักษณ์กรมสอบสวนคดีพิเศษจะไม่น่าเชื่อถือ ตนจึงประสงค์ขอให้อธิบดีดีเอสไอทำการถอนตัวนางป.ออกจากการทำคดีดังกล่าว เนื่องจากนางป. ทราบอยู่แล้วว่าเนื้อหาภายในสำนวนเป็นอย่างไร และอาจจะนำไปบอกกล่าว ให้ความช่วยเหลือในมิติที่เป็นประโยชน์ต่อ อดีตประธานฯ หรือผู้ต้องหาอื่นๆได้

นายอัจฉริยะ กล่าวอีกว่า นางป. ยังมีการแอบเอาเนื้อหาภายในสำนวนคดีบางส่วน ออกไปให้ลูกชายของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับหุ้นสตาร์คเช่นกัน จนเป็นสาเหตุที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าผู้บริหาร เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษเอาผิดประธานกรรมการบริษัทสตาร์คฯ โดยอ้างว่าตัวเองเป็นผู้เสียหาย อาจจะเพราะว่ารู้ข้อมูลภายในสำนวนเลยจะหาช่องให้ตัวเองรอดจากการถูกดำเนินคดี

 นอกจากนี้ ตนยังทราบว่านางป. มีพฤติการณ์วิ่งเต้นคดีกับ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีดีเอสไอ และในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีสตาร์ค เพื่อขอให้ช่วยเหลืออดีตประธานฯ แต่ปรากฏว่า พ.ต.ต.ยุทธนา ไม่ทำเช่นนั้น ไม่ขอช่วยเหลือ เพราะต้องทำคดีอย่างตรงไปตรงมา รวมถึงในเรื่องนี้ พ.ต.ท.จักรกฤษณ์ วิเศษเขตการณ์ ผอ.กองคดีการเงินการธนาคารและการฟอกเงิน ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเช่นกัน มีเพียงนางป. เท่านั้นที่มีพฤติกรรมลักษณะนี้

 พร้อมทิ้งท้ายว่า  จริงๆแล้วในเรื่องนี้มีบุคคลซึ่งอยู่ในฝ่ายการเมืองฝากตนมาให้จัดการ คาดว่าหลังจากนี้เจ้าตัวจะเดินทางมายังดีเอสไอเพื่อติดตามความคืบหน้าคดีอีกด้วย.