วินด์เกาะณุศา เข้าตลาดหุ้น ตลท.เตือนระวังลงทุน

หลังบริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) หรือ NUSA แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2566 อนุมัติซื้อหุ้นบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (WEH) รวม 11,748 ล้านบาท โดยออกหุ้นเพิ่มทุน NUSA ให้กับบริษัท ธนา พาวเวอร์ วัน  จำกัด (TONE) ไม่เกิน 49.98%เป็นการตอบแทน ซึ่งมีขนาดของรายการ 99.90% เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2566

ต่อมาสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)สั่งให้ NUSA ชี้แจงและปรับปรุงข้อมูลการคำนวณขนาด รายการดังกล่าวที่ไม่เป็นไปตามความเห็นของก.ล.ต. ให้ครบถ้วน ถูกต้อง โดยให้นับรวมขนาดรายการที่ NUSA ลงทุนหุ้น WEH เมื่อปี 2565 ด้วย ก่อนที่ตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ตลท.) จะออกมาเตือนให้นักลงทุนศึกษาและติดตามข้อมูลของ NUSA ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากการซื้อหุ้น WEH เพิ่มเติมเข้าข่ายเป็นรายการ Backdoor Listing ที่ต้องดำเนินการตามข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง

เกิดคำถามมากมายว่า การเพิ่มทุนด้วยการออกหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง หรือ PP จำนวน 13.05 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 0.90 บาท คิดเป็นมูลค่า 11,748 ล้านบาท จัดสรรให้กับ TONE ทำไมไปคล้ายกับกรณีบริษัท สยามอินเตอร์มัลติมีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ SMM มี ที่เพิ่มทุนจำนวนมาก เพื่อเข้าซื้อกิจการ เฟ้ลปส์ ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) ผู้ผลิตและเคเบิลไฟฟ้า ที่มี “กลุ่มตั้งคารวคุณ” เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ทำให้ “กลุ่มตั้งคารวคุณ” เข้ามาถือหุ้นใหญ่ใน SMM สัดส่วน 94.2% ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ที่สร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนมหาศาลอยู่ในขณะนี้

WEH เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานลม ปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว 8 โครงการ กำลังการผลิตรวม 717 เมกะวัตต์ โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีอายุสัญญาเริ่มต้น 5 ปี และสามารถต่ออายุสัญญาไปคราวละ 5 ปี โดยมีราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ในราคา 3.50 บาทต่อหน่วย 

แวดวงตลาดทุน ก็รู้กันดีว่า WEH เพียรพยายามจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ มาตั้งแต่ปี 2558 แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สำเร็จ หลังจากเกิดการพลิกผันของนายนพพร ศุภพิพัฒน์ ผู้ก่อตั้ง WEH ที่ต้องหลบหนีคดี ม.112 ตามมาด้วยฟ้องร้องคนที่เข้ามาถือหุ้นภายหลังอย่างนายณพ ณรงค์เดช หลายคดีอีรุงตุงนังไปหมด 

นางศิริญา เทพเจริญ ประธานบริหาร บริษัท ณุศา เลเจนด์ สยาม พัทยา จำกัด และรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) หรือ “NUSA” เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า  จากกระแสข่าวที่ไม่ดี จนทำให้ราคาหุ้น NUSA เหลือ 0.50-0.60 บาท ซึ่งแปลว่า คนที่เขาต้องการจะเอาหุ้นมาแลกได้เข้ามาดูธุรกิจของ NUSA แล้ว ไม่มีใครโง่จะเอาของดีมาแลกของไม่ดี เรื่องนี้ขอยืนยัน และหากจะหาบริษัทที่มีกำไร 5-6 พันล้าน หาได้ยาก

นางศิริญากล่าวว่า ภาพรวมจากข่าวที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ทำให้ทาง NUSA เสียชื่อ พร้อมยืนยันว่า เป็นคนละเรื่องกับ STARK และเราไม่ใช่ STARK 2 ตามกระแสข่าวก่อนหน้านี้  เนื่องจากเรามีสินทรัพย์ มีที่ดินในโครงการอย่าง MY OZONE กว่า 1,300 ไร่ และที่ดินใน พัทยาอีก 300 ไร่ โดยในที่ดินที่มีในพื้นที่พัทยา ทางบริษัทได้ซื้อมาในราคาไร่ละ 2 ล้านบาท

ขณะที่ราคาปัจจุบันอยู่ที่ไร่ละ 20 ล้านบาท ถือเป็นจุดแข็งของทาง NUSA ที่มีที่ดินถือครองไว้ในสต๊อคเป็นจำนวนมาก รวมทั้งทางที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (Independent Financial Advisor : IFA) อยู่ระหว่างการประเมินมูลค่าทางบัญชีของบริษัทซึ่งเชื่อว่าในปัจจุบันจะมีมูลค่าต่อหุ้นสูงกว่ามูลค่าปัจจุบันอยู่เป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ปัจจุบันสถานะทางการเงินของบริษัท มีสินทรัพย์ 15,589.75 ล้านบาท มีหนี้สินเพียง 6,302.30 ล้านบาท มูลค่าหุ้นทางบัญชี 0.78 บาทต่อหุ้นและมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.68 เท่า

นางศิริญา กล่าวว่า การเข้าซื้อ PANACEE ที่เยอรมนี เบื้องต้นในตอนแรกทาง NUSA ต้องการซื้อตัวอาคาร แต่เนื่องจากตัวอาคารถูกจดทะเบียนในรูปแบบบริษัท ทำให้ทางเราต้องเปลี่ยนจากการซื้ออาคารมาเป็นการเข้าซื้อบริษัทแทนทำให้ต้องมีการโอนเงินระหว่างการซื้ออาคารที่ได้จ่ายไปเป็นการซื้อบริษัทเจ้าของอาคาร โดยในเรื่องนี้ทาง NUSA ได้มีการแจ้งไว้ในส่วนของงบการเงินตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 66 แล้ว รวมทั้งตัวอาคารและบริษัทดังกล่าวได้ โอนกรรมสิทธิ์เป็นของทาง NUSA แล้ว

“เราไม่ได้ซื้อทิพย์เราซื้อของจริงๆ ในฐานะที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ต้องการเห็นทาง NUSA เติบโต รับรองได้ว่าในรายการเราซื้อและได้ของมาจริงการซื้อ PANACEE ในเยอรมนี เป็นความต่อเนื่องหลังจากทางบริษัทได้มีการเข้าซื้อ PANACEE ทั้งในไทยและจีน จนถือรวมกว่า 90% เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจในด้านสุขภาพ ที่บริษัทกำลังให้ความสนใจในด้านนี้” นางศิริญากล่าว

ทั้งนี้ ตามกลยุทธ์ของบริษัทที่จะมุ่งเน้น 3 ธุรกิจ ที่ประกอบไปด้วย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจการแพทย์ และธุรกิจพลังงาน

นางศิริญากล่าวยืนยันว่า การเข้าซื้อหุ้น WEH ในครั้งนี้  ไม่ใช่ว่า NUSA เพิ่งสนใจเข้าซื้อในตอนนี้  ช่วงปี 2558 บริษัทได้เคยเข้าไปซื้อหุ้น WEH แล้ว 1.17% ในราคาซื้อหุ้นละ 550 บาท วงเงินรวม 700,000,400 บาท บนเงื่อนไขหาก WEH ไม่สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายใน 2-3 ปี จะต้องคืนหุ้นกลับพร้อมดอกเบี้ย ซึ่งทางบริษัทก็ได้รับเงินพร้อมดอกเบี้ยกลับคืนมานั่นเป็นการเข้าซื้อครั้งแรก