"ASW" เทก TITLE เข้าถือ 57% พร้อมตั้งโต๊ะทำเทนเดอร์ฯที่ 2.50 บาท/หุ้น

12 ก.ค. 2566 | 10:33 น.
อัปเดตล่าสุด :12 ก.ค. 2566 | 10:51 น.

ASW ทุ่ม 1,043 ล้านบาท เทกฯ TITLE ถือหุ้น 57.79% พร้อมทำเตรียมเทนเดอร์ส่วนที่เหลือหุ้นลุ 2.50 บาท คาดปิดดีลภายในก.ค.นี้ หวังต่อยอดบุกตลาดอสังหาฯภูเก็ตเต็มสูบ ขยายฐานตลาดสู่หัวเมืองหลักท่องเที่ยว ตั้งเป้ารายได้แตะหมื่นล้านใน 3 ปี

นายกรมเชษฐ์  วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) (ASW) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 3/2566 เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2566 อนุมัติให้บริษัท 39 เอสเตท จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ ASW ถือหุ้นร้อยละ 99.99 เข้าลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (“TITLE”) ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ จำนวน 417,169,500 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้น ละ 0.50 บาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 57.79 ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ TITLE จากผู้ถือหุ้นเดิม คือ นายเด่นดนัย หุตะจูฑะ ในราคาหุ้นละ 2.50 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,042,923,750 บาท พร้อมทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ TITLE (Tender Offer) ในลำดับต่อไป

รวมถึงอนุมัติการเข้าทำสัญญาที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการ ซื้อหุ้น TITLE แบบมีเงื่อนไขบังคับก่อน ("สัญญาที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการซื้อหุ้น TITLE") ในเบื้องต้น บริษัทคาดว่า ธุรกรรมการซื้อหุ้น TITLE จะดำเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2566 ทั้งนี้ การทำธุรกรรมการซื้อหุ้น TITLE จะเกิดขึ้นเมื่อเงื่อนไขบังคับก่อนที่สำคัญของธุรกรรมการซื้อหุ้น TITLE ดังกล่าวบรรลุเป็นผลสำเร็จ
 

ขณะเดียวกัน มีมติอนุมัติการออกและจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) โดยการออกและจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ไม่เกิน 43,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท

โดย คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติการออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 43,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตรา ไว้หุ้นละ 1.00 บาท เพื่อเสนอขายให้แก่นายเด่นดนัย หุตะจูฑะ ซึ่งไม่เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันของบริษัท และ การเสนอขายครั้งนี้เป็นการเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัดตามแบบมอบอำนาจทั่วไป ในราคาเสนอขายหุ้นละ 8.40 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 361,200,000 บาท โดยมีการกำหนดระยะเวลา การจองซื้อและชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนในวันที่ 13 กรกฎาคม 2566

ทั้งนี้ จากกรณีที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ASW มีมติให้ 39 เอสเตท เข้าลงทุนในหุ้น สามัญของบริษัท จำนวน 417,169,500 หุ้น หรือ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 57.79 ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้ว ทั้งหมดของบริษัท ในราคา 2.50 บาทต่อหุ้น ดังนั้น 39 เอสเตท จึงมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ ทั้งหมดของ TITLE โดยจะทำคำเสนอซื้อในราคา 2.50 บาทต่อหุ้น

นายกรมเชษฐ์ กล่าวว่า การเข้าซื้อหุ้น TITLE จะช่วยให้ ASW สามารถต่อยอดและขยายเข้าสู่ธุรกิจคอนโดในตลาดภูเก็ตได้ทันที เนื่องจาก TITLE มีที่ดินรอการพัฒนาอีกกว่า 80 ไร่ ในทำเลศักยภาพอย่าง หาดในยาง, หาดราไวย์ และหาดบางเทา ที่สามารถพัฒนาโครงการในอนาคตได้ถึง 9 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 14,000 ล้านบาท  และการเข้าลงทุนดังกล่าว บริษัทฯ ยังได้ฐานลูกค้าและเครือข่ายเอเจ้นท์ (Agent) ที่น่าเชื่อถือ รวมถึงทีมผู้บริหารและพนักงานที่เข้าใจการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับชาวต่างชาติ พร้อมที่จะสร้างสรรค์และพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพในระดับสากลต่อไป

“ เรามองเห็นศักยภาพ ประสบการณ์ และความสามารถของทีมผู้บริหาร และศักยภาพที่ดินในจังหวัดภูเก็ตของ TITLE รวมทั้งมุมมองในการทำธุรกิจของทั้ง ASW และ TITLE ที่มี DNA ที่คล้ายกัน ทั้งด้านการให้ความสำคัญกับ Facilities และฟังก์ชันในการอยู่อาศัย รวมถึงแผนการพัฒนาภาพใหญ่ของจังหวัดภูเก็ตเอง ซึ่งการ Synergy กันในครั้งนี้ จะช่วยให้ ASW ต่อยอดธุรกิจไปสู่กลุ่มโรงแรมและการท่องเที่ยวได้ในอนาคต” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ASW กล่าวและว่า

ปัจจุบันตลาดท่องเที่ยวของภูเก็ตฟื้นตัวถึงกว่าร้อยละ 80 เทียบกับช่วงก่อนโควิด และทางสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวภูเก็ต ได้วางกลยุทธ์ในการส่งเสริมการทำการตลาดท่องเที่ยวของภูเก็ตไว้ 5 ด้านด้วยกัน คือ กลยุทธ์รักษาตลาดเป้าหมายเดิมไว้ เช่น ตลาดจีน รัสเซีย อินเดีย ตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย และยุโรป ซึ่งเป็นตลาดที่มาภูเก็ตอยู่แล้ว ด้วยการออกไปทำตลาดส่งเสริมการขาย การออกไปทำโรดโชว์ในประเทศที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลัก

รวมถึงการเจาะตลาดใหม่ เช่น ตะวันออกกลางในบางประเทศ โดยภาคเอกชนมองว่า การท่องเที่ยวของภูเก็ตจะกลับมาฟื้นตัว 100% อย่างแน่นอนในปี 2567 ที่จะถึงนี้ ย่อมส่งผลดีต่อตลาดอสังหาฯ ของภูเก็ต โดยบริษัทฯ ได้ตั้งเป้ารายได้ของ TITLE ไว้ที่ 10,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี (2567-2569) 

อนึ่ง   ASW ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยมุ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวสูงและแนวราบบนทำเลศักยภาพ ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We Build Happiness” ปัจจุบันได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการบ้านจัดสรรมาแล้วกว่า 50 โครงการ ภายใต้แบรนด์ในเครือที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความสุขให้เหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์ ได้แก่ แบรนด์ เคฟ (KAVE), แบรนด์ แอทโมซ (ATMOZ), แบรนด์ โมดิซ (MODIZ), แบรนด์ เอสต้า (ESTA) และ แบรนด์ ดิ ออเนอร์ (THE HONOR) รวมมูลค่าโครงการกว่า 55,300 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและโครงการพร้อมอยู่ 37 โครงการ และโครงการที่กำลังเปิดขายและอยู่ระหว่างการพัฒนา 13 โครงการ ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ารวมกว่า 11,400 ล้านบาท


ขณะที่ TITLE เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาฯ ในจังหวัดภูเก็ตที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 10 ปี พัฒนาอสังหาฯ ประเภทคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ “The Title” แต่ละโครงการล้วนตั้งอยู่ในทำเลที่ดีอย่าง หาดในยาง, หาดราไวย์ และหาดบางเทา และได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า สามารถปิดการขายแล้วเกือบทุกโครงการ ซึ่งในปัจจุบัน โครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา อาทิ โครงการ THE TITLE V RAWAI ซึ่งปิดการขายแล้ว 100% สามารถทยอยโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้วกว่า 89% และโครงการ THE TITLE HALO 1 NAIYANG เปิดการขายเมื่อปลายปี 2565 ที่ผ่านมา

ณ ไตรมาส 2/2566 มียอดขายแล้วกว่า 79% จาก 329 ยูนิต ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 1 ปี 2567  และหากพิจารณาทางด้านการเงินพบว่า TITLE มีสถานะทางการเงิน และพื้นฐานธุรกิจที่ดี แม้ในช่วงโควิดที่ผ่านมา TITLE ก็ยังสามารถส่งมอบห้องชุดกับลูกค้าได้ตามสัญญา รวมถึงมีหนี้สินต่อทุนในระดับที่ต่ำจึงยังมีโอกาสเติบโต และขยายธุรกิจได้อีกมาก