การเมืองกดดัน"หุ้นไทย"ไซด์เวย์ดาวน์ จับตา ก.ค.

ปัจจัยทาง"การเมือง" คงกดดันตลาดหุ้นไทย ซึ่งใกล้งวดเข้ามาทุกที นับจากรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาในวันที่ 3 ก.ค.นี้ที่คาดว่าจะเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 4 ก.ค.66 ซึ่งเหลือระยะเวลาอีกราว 1 สัปดาห์ แต่ระหว่างทางยังมีประเด็นที่เข้ามาเพิ่มความไม่แน่นอนทางการเมือง

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส หรือ ASPS กล่าวกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า มองภาพตลาดหุ้นดาวน์ไซด์เต็มที่ในเชิงพื้นฐาน น่าจะเห็นในระดับ 1,480 จุด ( บทสมมุติฐานว่า กนง.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง )  ซึ่งน่าจะเห็นชัดเจนช่วงสัปดาห์แรกเดือนก.ค.2566 ก่อนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี

"คาดทิศทางหุ้นไทยจะดีขึ้น หลังโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และการจัดตั้งรัฐบาลได้เร็วก็ยิ่งเรียกความเชื่อมั่น แต่หากโหวตนายกรัฐมนตรีช้าออกไป จะไม่เป็นผลดี คาดดาวน์ไซด์บนพื้นฐาน ดัชนี SET น่าจะอยู่ระดับ 1480 จุด " 

การเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.66 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,478.10 จุด ปรับตัวลดลง 7.22 จุด ( -0.49%) ด้วยมูลค่าซื้อขาย 34,797.78 ล้านบาท โดยทำจุดต่ำสุด 1,478.10 จุด จุดสูงสุดที่ 1,495.67 จุด

ขณะเดียวกันบทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ล่าสุด ( 27 มิ.ย.) ระบุ คาด SET Index อยู่ในช่วงฐานภายใต้แนวต้าน 1,500 จุด โดยแนวรับแรก 1,480 จุด หากหลุดแนวรับถัดไป 1,450 จุด อีกทั้งความเสี่ยงทางการเมืองยังเป็นปัจจัยที่อาจเข้ามากดดันเงินบาทให้อยู่ในโซนอ่อนค่า และลดแรงจูงใจให้ต่างชาตินำเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในบ้านเราได้

ฝ่ายวิจัยฯ ประมาณการดัชนีเป้าหมาย (Target SET) ปี66 ที่ 1,542 จุด โดยคงกำไรต่อหุ้น ( EPS) ที่ระดับ 91.8 บาทต่อหุ้น อิงระดับ Market Earning Yield Gap4.0%  แต่หาก กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง สู่ระดับ 2.25% ดัชนีเป้าหมายจะอยู่ระดับ 1480 จุด (โซนแนวรับทางพื้นฐาน) และหากต้องการดัชนีเป้าหมายระดับเดิมที่ 1,542 จุด EPS จะต้องเพิ่มขึ้น 4.4%
 

ทั้งนี้ความผันผวนหุ้นไทยในช่วงนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการถูกเรียกหลักประกันเพิ่ม (Margin Call) และการบังคับขาย (Force Sell) ในช่วงที่สภาพคล่องเบาบางจึงลงลึกมากกว่าปกติ  โดยจะเห็นได้ว่าในช่วงนี้ยังเห็นหุ้นขนาดใหญ่หลายบริษัทลงลึกเกิน -2% ย้ำๆ ติดต่อกันหลายๆวัน  และจากการทำการคัดกรองหาหุ้นไทยพื้นฐานดี ราคาย่อตัวลงมาจนน่าสะสม อีกทั้งยังหลบการถูก Margin Call ได้ ด้วยเงื่อนไขต่างๆ ดังนี้

• 1.เป็นหุ้นที่มีสัดส่วนการนำหุ้นมาวางเป็นหลักประกันต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของหุ้นที่นำมาวางเป็นหลักประกันทั้งหมดในตลาดที่ 1.62% (ข้อมูลสิ้นเดือน พ.ค.66)
• 2.เป็นหุ้นที่ย่อตัวลงมาลึก (Return ytd < 15%)
• 3.เป็นหุ้นพื้นฐานดี มี Upside > 10%

ได้ผลลัพธ์ดังตารางทางด้านล่าง