ก.ล.ต. ลุยเช็คบิลปมร้อนหุ้น STARK หากผิดโทษหนักคุก 20 ปี

26 มิ.ย. 2566 | 14:31 น.
อัปเดตล่าสุด :26 มิ.ย. 2566 | 21:06 น.
878

ปมร้อนหุ้น "STARK" ก.ล.ต. พร้อมหน่วยงานต่าง ๆ ไม่นิ่งนอนใจ แต่ยังเผยรายละเอียดไม่ได้ หากผิดโทษหนักคุก 20 ปี จับตาช่วงบ่ายนี้ถก DSI และ บก.ปอศ. ถึงแนวทางการสืบสวนสอบสวน พร้อมตรวจสอบพยานหลักฐาน

วันนี้ (26 มิ.ย. 66) ที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ถนนวิภาวดีรังสิต ได้แถลงข่าว "กรณี STARK และแนวทางเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุน" นำโดย ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยพร้อมด้วย 9 องค์กรที่เกี่ยวข้องร่วมกันแถลงข่าว

โดยนายธวัชชัย พิทยโสภณ รองเลขาธิการ รักษาการเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ระบุว่า จากกรณีที่เกิดขึ้นของ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ "STARK" ที่ผ่านมาได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ภายใต้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย

11 หน่วยงาน แถลงกรณีหุ้น "STARK"

ทั้งการสั่งให้บริษัทเปิดเผยข้อมูล ขยายขอบเขตการตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษ (special audit) เพิ่มเติม และการแจ้งเตือนผู้ลงทุน รวมทั้งร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมาย

ซึ่งขณะนี้การตรวจสอบมีความคืบหน้าไปมาก แม้ทาง ก.ล.ต. จะไม่มีอำนาจในการฟ้องคดี แต่พร้อมให้การสนับสนุนทุกฝ่าย และหากช่วยได้ก็จะดำเนินการให้ โดยขอยืนยันว่าทาง ก.ล.ต. ทำเต็มที่ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เพราะอยู่ในขั้นตอนทางกฎหมาย

ก.ล.ต. ลุยเช็คบิลปมร้อนหุ้น STARK หากผิดโทษหนักคุก 20 ปี

สำหรับด้านการคุ้มครองสิทธิของผู้ลงทุน ก.ล.ต. ยินดีช่วยเหลือประสานงานอย่างเต็มที่ โดยที่ผ่านมาก็ได้มีการหารือร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สมาคมบริษัทจัดการลงทุน และสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทยด้วยแล้ว และหลังจากนี้จะมีการหารือร่วมกับเดือนละ 1 ครั้ง เพื่ออัพเดทข้อมูลต่างๆที่เกิดขึ้น

ส่วนกรณีที่มีกระเเสข่าวว่า "มีผู้บริหารของ STARK มาให้ข้อมูลหรือไม่" เรื่องนี้ขอไม่ตอบ ส่วนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้สอบบัญชีในตลาดทุนนั้นคงจะต้องตรวจสอบตั้งต้น เพราะต้องความชัดเจนของพยานหลักฐาน

แต่หากว่าด้วยเรื่องการกระทำความผิดปกติในแง่ของข้อกฏหมาย มีบทกำหนดโทษ ในการกระทำความผิด ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุด 20 ปี

ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายมองว่า ก.ล.ต. ดำเนินการล่าช้าจน กรมสอบสวนคดีพิเศษ รับเป็นคดีพิเศษเพราะเป็นเรื่องใหญ่ และไม่ไว้วางใจ ก.ล.ต. นั้นในเรื่องนี้ นายธวัชชัย ระบุว่า ในส่วนของคำติชมสามารถเข้าใจได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องใหญ่ ส่วนความไว้วางใจ เชื่อว่าสิ่งที่ ก.ล.ต. กำลังทำจะปรากฏให้เห็นแน่นอน

นอกจากนี้ ก.ล.ต. ยังกำหนดแนวทางในการยกระดับการกำกับดูแลการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทจดทะเบียน และเสริมสร้างบทบาทหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

โดยได้ดำเนินการภายใต้โครงการ "บริษัทจดทะเบียนเข้มแข็ง" ซึ่งริเริ่มขึ้นเมื่อปลายปี 2565 และคาดว่าจะเสนอต่อคณะกรรมการ ก.ล.ต. ได้ในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้

"เราไม่ได้นิ่งนอนใจ ดำเนินการทุกอย่างเต็มที่ แต่ไม่สามารถบอกอะไรได้มา ก็อึดอัดอยากจะบอกทั้งหมดแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะยังอยู่ในขั้นตอนก็บอกได้เพียงแค่หลักการ บางเรื่องขอความร่วมมือกับ ป.ป.ง. และ DSI การทำงานเชื่อมต่อกับหน่วยงานอื่นมีกรอบเวลาทำงาน อะไรที่เราช่วยได้เราก็ช่วย" นายธวัชชัย กล่าว

ด้าน ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจในการดำเนินการ ทั้งในด้านการติดตามให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูลสำคัญ หรือ การเตือนผู้ลงทุนด้วยการออกข่าวเตือน

โดยสิ่งที่จะดำเนินการต่อไป จะเร่งปรับกระบวนการทำงาน และปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ทั้งด้านบริษัทจดทะเบียน และการซื้อขาย ซึ่งมีหลายเรื่องที่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีมติเห็นชอบไปแล้ว

ทั้งการปรับปรุงเกณฑ์ และยกระดับการกำกับดูแลตลอดทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การรับหลักทรัพย์ การดำรงสถานะ จนถึงการเพิกถอน รวมถึงจะยกระดับการกำกับดูแลการซื้อขาย ตลอดจนผสานความร่วมมือเชิงรุกกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดโอกาสการเกิดกรณีแบบ STARK

ส่วนความคืบหน้ากรณีหุ้น STARK กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ได้รับเรื่องการตรวจพบความผิดปกติของงบการเงินของ STARK เป็นคดีพิเศษ

โดยการสืบสวนเบื้องต้นมีมูลเชื่อว่ามีการกระทำผิดของกรรมการหรือผู้บริหารหรือบุคคลอื่นใดเกิดขึ้นตามกฎหมาย ซึ่งพฤติการณ์มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความเชื่อมั่นในตลาดทุน และระบบเศรษฐกิจการคลังของประเทศ เพราะสร้างความเสียหายหลายหมื่นล้านบาท

ภาพบรรยากาศการแถลงข่าวของ 11 องค์กร ปมหุ้น "STARK"

นายสุพจน์ สิงห์เสน่ห์ เลขาธิการ สภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ ระบุว่า สภาวิชาชีพบัญชีฯ พร้อมให้ความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คงความเชื่อมั่นในวิชาชีพบัญชี และตลาดทุนไทย พร้อมยืนยันว่ามาตราฐานการตรวจสอบบัญชีเป็นมาตราฐานที่ใช้เหมือนกันทั้งโลก มีความน่าเชื่อถือ และมีการปรับปรุงอยากต่อเนื่อง

ส่วนผู้ที่ได้รับกระทบจากผู้สอบบัญชี สามารถร้องเรียนคณะกรรมการจรรยาบรรณได้ เพื่อจะพิจารณาลงโทษ โดยการพักใบอนุญาติ ซึ่งผู้สอบบัญชีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ในมุมผู้ประกอบวิชาขีพ การถูกพัก หรือเพิกถอนเปินเรื่องร้ายแรงมาก แต่หากผู้สอบเกี่ยวข้องมากกว่าบกพร่องในมาตรฐาน จะมีโทษตามกฏหมายเข้ามาเพิ่มเติมแน่นอน

ขณะที่นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าวว่า เหตุการณ์แก้ไขงบที่เกิดขึ้นกับหุ้น STARK นั้น สะท้อนให้เห็นถึงความยากลำบากของ นักวิเคราะห์และนักลงทุนในฐานะเป็นผู้ใช้ข้อมูล

ซึ่งแม้ว่านักวิเคราะห์จะมีความรอบคอบ และมีระบบการวิเคราะห์ที่รัดกุมเพียงใด แต่ยังไม่สามารถยืนยันถึงความถูกต้องของข้อมูล เนื่องจากอยู่ในสถานะที่เป็นเพียงผู้ใช้ข้อมูล

จึงไม่เคยมีโอกาสที่จะได้เข้าถึงหลักฐานยืนยันรายการทางบัญชี แนวทางที่องค์กรต่าง ๆ จะร่วมกันคิดเพื่อป้องกันปัญหาแบบนี้ไม่ให้เกิดขึ้นได้ง่าย คือต้องหาวิธีที่จะสามารถตรวจทานหลักฐานยืนยันรายการทางบัญชีให้มั่นใจได้มากขึ้น

รวมถึงการมีหลักเกณฑ์ให้บริษัทจดทะเบียนมีหน้าที่ ต้องมา Opportunity Day หรือการจัดประชุมนักวิเคราะห์อย่างทั่วถึง ปีละ 2-4 ครั้ง เพื่อให้นักวิเคราะห์ และนักลงทุนสามารถซักถามสอบถามได้โดยตรง

สอดคล้องกับทางด้าน นายศักดิ์ดา พงศ์เจริญยง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ที่ระบุว่า ทริสเรทติ้งจะปรับปรุงขั้นตอนในการคัดกรองผู้ออกตราสารใหม่ให้เข้มงวดมากขึ้น โดยจะเพิ่มความระมัดระวังสำหรับผู้ออกตราสารที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

โดย backdoor listing ผู้ออกตราสารที่ไม่มีประวัติในการสร้างธุรกิจด้วยตัวเองหรือเน้นสร้างการเติบโตจากการซื้อกิจการอื่น รวมถึงจะหลีกเลี่ยงการจัดอันดับความน่าเชื่อถือให้กับผู้ออกตราสารที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือผู้บริหารที่มีประวัติหรือชื่อเสียงในทางลบทางด้านธรรมาภิบาล

นอกจากนี้ ทางทริสเรทติ้งจะเพิ่มการฝึกอบรมนักวิเคราะห์ ในส่วนเทคนิคการสังเกตลักษณะของงบการเงินที่น่าสงสัยว่ามีการตกแต่งงบการเงิน เพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์ความผิดปกติของงบการเงิน และสถานะทางการเงินที่แท้จริงของผู้ออกตราสาร

ส่วนมุมมองของ ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย กล่าวว่า ThaiBMA ในฐานะของ Bond Information Center ได้ติดตามสถานการณ์ของ STARK มาอย่างใกล้ชิด

โดยประสานงานกับผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ และสำนักงาน ก.ล.ต. ในการให้ข้อมูลและประชาสัมพันธ์อย่างรวดเร็วกับผู้ลงทุนผ่านทางช่องทางออนไลน์ของสมาคมฯ

นอกจากนี้ที่ผ่านมายังได้ให้ความเข้าใจเกี่ยวกับ เหตุแห่งการผิดนัดชำระหนี้ สิทธิของผู้ลงทุน หน้าที่และขั้นตอนการดำเนินงานของผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ทั้งที่เป็นการตอบข้อสงสัยที่มีเข้ามา รวมถึงการสื่อสารกับสื่อมวลชนอย่างสม่ำเสมอ

เพื่อให้ข้อมูลกับผู้ลงทุน รวมทั้งยกระดับความเชื่อมั่นในตลาดทุนในการให้ข้อมูล และความรู้ด้านตราสารหนี้ที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุน

ด้านนางสิริพร จังตระกุล เลขาธิการสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย กล่าวว่า เพื่อเป็นการช่วยในการรวมกลุ่มผู้เสียหาย จากการลงทุนในหุ้นสามัญ STARK สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย จึงเปิดระบบลงทะเบียนให้ผู้ลงทุนเข้ามาลงทะเบียน

โดยคำนึงถึง พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 อย่างเคร่งครัด และจะพิจารณาช่วยดำเนินการ รวมถึงอำนวยความสะดวกในขั้นตอนต่อไป กรณีที่มีการร้องขอให้มีการฟ้องคดีแบบกลุ่ม หรือ Class Action 

ทั้งนี้หลังจากสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย เปิดให้ผู้เสียหายจากการลงทุนหุ้นสามัญ STARK เข้ามาลงทะเบียน ตั้งแต่วันที่ 19-25 มิ.ย.2566 ปรากฏว่าเบื้องต้นมีผู้มาลงทะเบียน 1,759 คน มูลค่าความเสียหายที่ลงทะเบียน 4,063 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ในช่วงบ่ายวันนี้ (26 มิ.ย. 66) จะมีการประชุมกำหนดแนวทางการสืบสวนสอบสวนทางคดี และตรวจสอบพยานหลักฐานเบื้องต้น ร่วมกันระหว่าง 3 หน่วยงานประกอบด้วย DSI สำนักงาน ก.ล.ต. และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.)