"หุ้นไทย"สัปดาห์หน้า( 8-12 พ.ค.) เกาะติดปัญหาภาคธนาคารสหรัฐ

06 พ.ค. 2566 | 05:05 น.

บล.กสิกรไทย ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า ( 8-12 พ.ค.66 ) แกว่งตัว 1,500 - 1,555 จุด ตามติดปัจจัยสำคัญ ปัญหาภาคธนาคารสหรัฐ การเมืองไทย ผลประกอบการ บจ.ไตรมาส 1/66

บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า ( 8 -12 พ.ค.66 ) คาดดัชนี (SET Index)  แกว่งตัวแนวรับที่ 1,515 และ 1,500 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,545 และ 1,555 จุด ตามลำดับ 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่

  • ทิศทางเงินทุนต่างชาติ
  • ผลประกอบการงวดไตรมาส 1/66 ของบจ.ไทย
  • ปัญหาธนาคารสหรัฐฯ และ
  • สถานการณ์การเมืองในประเทศ 

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนเม.ย. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ การประชุม BOE ดัชนี PMI เดือนเม.ย. ของญี่ปุ่น รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจเดือนเม.ย. ของจีน อาทิ ตัวเลขส่งออก และดัชนีราคาผู้บริโภค

 

\"หุ้นไทย\"สัปดาห์หน้า( 8-12 พ.ค.) เกาะติดปัญหาภาคธนาคารสหรัฐ

สำหรับการเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย สัปดาห์ที่ผ่านมา ( 1-3 พ.ค.66 ) หุ้นไทยร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปีที่ 1,507.22 จุด ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาก่อนปิดหยุดยาว ทั้งนี้หุ้นไทยเผชิญแรงกดดันในช่วงแรกจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาภาคธนาคารของสหรัฐฯ หลังมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการปิดกิจการของแบงก์ในสหรัฐฯ อีกราย

ขณะที่การปรับตัวลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกยังเพิ่มแรงกดดันต่อหุ้นกลุ่มพลังงานด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดีหุ้นไทยฟื้นตัวกลับมาตามแรงซื้อคืนหุ้นกลุ่มแบงก์ ไฟแนนซ์และวัสดุก่อสร้าง ก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวของตลาดในประเทศ ประกอบกับนักลงทุนคาดว่า เฟดอาจส่งสัญญาณสิ้นสุดดอกเบี้ยขาขึ้นในการประชุมรอบนี้      

ในวันพุธ (3 พ.ค.) ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,533.30 จุด เพิ่มขึ้น 0.27% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 47,481.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.43% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 0.52% มาปิดที่ระดับ 499.36 จุด

มูลค่าการซื้อขายแยกตามกลุ่มนักลงทุน (1- 3 พ.ค. 66 )

  • ต่างชาติขายสุทธิ  409.02 ล้านบาท   
  • สถาบันซื้อสุทธิ  2,313.27 ล้านบาท  
  • บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ  628.68 ล้านบาท
  • รายย่อยซื้อสุทธิ 1,275.57 ล้านบาท