นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทย ในช่วงแรกของไตรมาส 2 จะปรับตัวอยู่ในเกณฑ์ดี รับปัจจัยผลักดันทางด้านสภาพคล่องที่มีที่มาส่วนหนึ่งจากการเติมเต็มสภาพคล่องในระบบการเงินของสหรัฐฯและยุโรปที่ผ่านมา มองมาตรการที่สำคัญได้แก่ USD Liquidity Swaps ที่ทางธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จับมือร่วมกับอีก 5 ธนาคารกลางขนาดใหญ่ (Coordinated action) ในการเติมเต็มสภาพคล่องของเงิน USD ที่ขาดหายไป
"หากอ้างอิงในอดีต จะพบว่ามาตรการดังกล่าวมักนำมาสู่ Turning point ของเงิน USD ได้อย่างสำคัญ ไม่เว้นรอบนี้ ที่เราประเมินว่านับตั้งแต่ช่วงนี้ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายนซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของมาตรการดังกล่าว เงิน USD มีแนวโน้มจะทรงตัวอ่อนค่าอยู่ในระดับต่ำต่อไป เป็นอานิสงส์ต่อสินทรัพย์เสี่ยงในภาพรวม รวมถึงสกุลเงินต่างๆในประเทศเกิดใหม่รวมถึงไทยด้วย" บทวิเคราะห์ ระบุ
ในส่วนของปัจจัยดึงดูดที่สำคัญในช่วงต้นไตรมาสที่ 2 นี้นั้น คงหนีไม่พ้นสีสันทางด้านการเลือกตั้ง ที่จะเริ่มเข้ามามีอิทธิพลต่อ Sentiment ในตลาดมากขึ้น ทั้งนี้ หากตรวจสอบดู Timeline ของเหตุการณ์ที่สำคัญที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปของไทยในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ จะได้แก่
วันที่ 3-7 เมษายน: การรับสมัครส.ส.แบ่งเขต
วันที่ 4-7 เมษายน: การรับสมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ รวมถึงการแจ้งรายชื่อบุคคลที่จะแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
วันที่ 7 พฤษภาคม: วันเลือกตั้งล่วงหน้าทั้งในเขตและนอกเขตเลือกตั้ง
วันที่ 14 พฤษภาคม: วันเลือกตั้งทั่วไป
ทั้งนี้ โดยปกติแล้ว ช่วงเวลาก่อนหน้าการเลือกตั้งของไทยมักมากับเม็ดเงินที่ใช้ในการหาเสียงด้วยแคมเปญต่างๆ รวมถึงการออกมาให้คำมั่นสัญญาทางด้านนโยบายเศรษฐกิจ ที่จะเข้ามาช่วยปากท้องของประชาชนในช่วงถัดไป ซึ่งสุดท้ายแล้วจะเกิดขึ้นจริงได้มากเท่าไหร่นั้นย่อมไม่มีใครรู้ แต่ในส่วนของความคาดหวังของคนนั้น มักจะเกิดขึ้นนำหน้าไปก่อนเสมอ ไม่ต่างจากการเลือกตั้งรอบนี้ที่เราประเมินว่าจะเห็นภาพดังกล่าวเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราพิจารณาว่า ณ ขณะนี้ เศรษฐกิจไทยเพิ่งอยู่ในเฟสของการฟื้นตัวหลังจากช่วงโควิดได้ไม่นาน แถมยังเจอปัญหาเงินเฟ้อที่เข้ามาเพิ่มภาระค่าครองชีพล่าสุดเข้าไปอีก ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงมีความกระหายต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนโยบายภาครัฐ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของมาตรการการเพิ่มรายได้ การลดรายจ่ายค่าครองชีพ หรือรวมไปถึงการลดภาระหนี้
นโยบายต่างๆเหล่านี้ที่หลายพรรคการเมืองนำมาใช้ในการหาเสียงอยู่ ณ ปัจจุบัน ย่อมนำมาสู่ความคาดหวังทางด้านคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งในทางทฤษฎีมักนำมาสู่การบริโภคจับจ่ายใช้สอยที่เกิดขึ้นก่อนในปัจจุบันด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ จากการคาดการณ์ของหอการค้าไทยล่าสุด ได้ประเมินว่าจะมีเงินสะพัดในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ราว 5-6 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมได้ราว 1.0-1.2 แสนล้านบาท ก่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากเดิมได้ประมาณ 0.5 - 0.7%
จากสถิติในอดีตนับตั้งแต่ปี 2533 เป็นต้นมาเราพบว่า ตลาดหุ้นไทยมักให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงสองสัปดาห์ก่อนหน้าการเลือกตั้งไปจนถึงหนึ่งสัปดาห์หลังจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้น ซึ่งเราให้คำจำกัดความในช่วงเวลานี้ว่า เป็นช่วงของปรากฏการณ์ ‘Election rally ’ ที่มีค่าเฉลี่ยของผลตอบแทนในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 6% (Figure 1) โดยมีระดับ Maximum และ Minimum return อยู่ที่ +16.5% และ +0.1% ตามลำดับ (Figure 2) หรือพูดง่ายๆ ก็คือว่าในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ SET Index ไม่เคยให้ผลตอบแทนติดลบเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ในส่วนของกลุ่มหุ้นที่มักจะปรับตัวได้ดีในช่วงปรากฏการณ์ Election rally ทุกๆครั้ง จะพบว่ากระจุกอยู่ในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจภายในหรือ Domestic play เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ กลุ่มการแพทย์ กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มธนาคาร กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ และกลุ่มพาณิชย์ เป็นต้น (Figure 3)
กลยุทธ์ลงทุน :
แนะนำให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Domestic play ข้างต้น เพื่อรองรับกับปรากฏการณ์ Election rally ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้านี้ สิ่งที่น่าสนใจก็คือว่า กลุ่มหุ้นเหล่านี้ยังไม่ได้มีการปรับขึ้นมามากนัก หากนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา (Figure 4) ทำให้ในแง่ Valuation ส่วนใหญ่ ยังไม่ได้อยู่ในระดับที่ตึงตัวมากนัก
ในส่วนของตัวหุ้นแนะนำที่เราเลือกมานั้น ส่วนใหญ่ก็กระจุกอยู่ในกลุ่ม Domestic play เหล่านี้ด้วยเช่นกัน โดยเราแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆนั่นก็คือ กลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ที่อยู่ใน SET100 และอยู่นอกเหนือ SET100 (Non-SET100) ซึ่งมีรายชื่อดังต่อไปนี้
รายชื่อหุ้นแนะนำในดัชนี SET100 ได้แก่ ADVANC, BBL, BGRIM, BH, CBG, CENTEL, CRC, DOHOME, PTG, SABUY
รายชื่อหุ้นแนะนำในดัชนี Non-SET100 ได้แก่ BVG, BWG, ETC, HTC, MENA, OTO-W1, PR9, SAPPE, SFLEX, SNNP
สำหรับเหตุผลสนับสนุนหุ้นในแต่ละบริษัท มีดังนี้
รายชื่อหุ้นแนะนำในดัชนี SET100
ADVANC : คาดดีล TTTBB จบ 2Q66 นี้ หนุนธุรกิจเน็ตบ้าน มี Synergy แน่นอน พร้อมขยายธุรกิจไปดาต้าเซ็นเตอร์ ธุรกิจคลาวด์
BBL : มีโอกาสโตจากการรุกตลาดบัตรเครดิต สำรองหนี้และเงินกองทุนแข็งแกร่งสุด แต่ PBV ต่ำสุดในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่
BGRIM : 1Q66 พลิกกับมากำไร จากค่า Ft ที่ ปรับมาอยู่ที่ 158 ตางค์ จาก 93.43 สตางค์ รวมถึงแนวโน้มค่าเชื้อเพลิงที่เป็นเทรนด์ขาลง
BH : ยังคงทำรายได้และกำไรระดับ New High ต่อเนื่อง จากการปรับเพิ่ม Pricing และเพิ่ม Capacity ในการรับบริการ ด้าน Margin ยังทำได่กว่า 20% และมี Upside จากรายได้ของคนไข้ต่างชาติที่ยังกลับมาไม่ครบ 100%
CRC : คาดกำไร 1Q66 โตโดดเด่นสุดในกลุ่มจากนักท่องเที่ยวกลับมาและ มาตรการ "ช้อปดีมีคืน"
CBG : รายได้ในประเทศและส่งออกมากขึ้นจากการทำโปรโมชั่น พร้อมการเปิดตัวสินค้าใหม่ ในขณะที่ต้นทุนขวดแก้วปรับตัวลดลงตามค่าก๊าซ
CENTEL : FOOD : SSS และ TSS คาดเติบโตได้ Double digits และสามารถบริหารต้นทุนได้ดีขึ้นแม้ค่าวัตถุดิบจะสูงขึ้น HOTEL : โรงแรมในประเทศยังฟื้นตัวทั้ง QoQ และ YoY และค่าไฟที่ลดลงหนุน Margin กลุ่มโรงแรมให้สูงขึ้น ด้านโรงแรมในต่างประเทศมี RevPar สูงกว่าปี 2019
DOHOME : คาดผลประกอยการ 4Q65 bottom แล้ว 1Q66 ฟื้นตัวจากธุรกิจก่อสร้าง และต้นทุนค่าระวางเรือลดลง
PTG : ค่าการตลาดปรับเพีมขึ้นหลัง ลดเก็บเงินเข้ากองทุน แถบท่องเที่ยวบูมหนุนยอดขายน้ำมัน
SABUY : ปี 66 ตั้งเป้ารายได้ที่ 20,000 ล้านบาท จากรายได้ปี 65 ที่ 5,300 ล้านบาท ใช้งบลงทุน 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการเติบโตจาก 6 กลุ่มธุรกิจ (Machine/Kiosk 2.9 BTHB, Consumer Merchandising 3.2 BTHB, Financial Service 1 BTHB, Drop Off Shop & Service 3.3 BTHB, Solution & Platform 3.5 BTHB, Innotainment & Infrastructure 6 BTHB)
รายชื่อหุ้นแนะนำในดัชนี Non-SET100
BVG : ธุรกิจมีคูเมืองที่แข็งแกร่งจาก Ecosystem และ Big Data มีโอกาสสร้างรายได้เพิ่มเติมจากการให้บริการด้วยระบบ AI การเติบโตค่อนข้างสดใส ทั้งในไทย และการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ
BWG : คาดปี 2566 โอกาสพลิกกลับมากำไร ธุรกิจกำจัดขยะกลับมาปกติ พร้อมขยายโรงเชื้อเพลิง SRF รองรับโรงไฟฟ้า ETC ซึ่งคาดจะประกาศผู้ชนะ 5 เม.ย. นี้
ETC : ประกาศผู้ชนะโรงไฟฟ้าขยะ 5 เม.ย. นี้ คาดบริษัทจะชนะอย่างน้อย 5 โครงการ ช่วยเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าอีก 3 เท่า และ EPS โตกว่า 5 เท่า
HTC : ได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว การปรับขึ้นราคาขาย การปรับสูตรน้ำตาล และผลกระทบด้านต้นทุนวัตถุดิบ (PET) ที่ลดลง
MENA : ร่วมทุนตะวันแดง ช่วยบริหารรถขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภคให้กับบริษัท ซี.เจ. เอ็กซ์เพรส พร้อมรับรู้ส่วนแบ่งกำไรทันที 15-20 ลบ. +30% ของกำไร
OTO-W1 : Deeply Undervalued ราคา warrant บวกราคาใช้สิทธิ ยังต่ำกว่า OTO ครึ่งหนึ่ง
PR9 : ทำรายได้และกำไรระดับ New High จากการเพิ่ม Ward การรักษา และเพิ่มศูนย์แพทย์เฉพาะทาง และยังคงเป็นที่นิยมด้านการเปลี่ยนไต โดยเพิ่มกลุ่มคนไข้เปลี่ยนไตจากกลุ่ม CLMV และการเพิ่มสัดส่วนโรคซับซ้อนที่มีรายได้/บิลสูง เริ่มมีการ Utilize อาคารใหม่ รองรับคนไข้ที่เพิ่มขึ้น
SAPPE : คาด 1Q66 โตแรง YoY และ QoQ หน้าร้อนหนุนรายได้เครื่องดื่ม พร้อมการเปิดตัวสินค้าใหม่ โมกุ โมกุ 2 รสชาติที่ขายดีในต่างประเทศ ด้านต้นทุน packaging ปรับตัวลดลงหนุนการขยายตัวของ GPM
SFLEX : Gross Margin ปรับเพิ่มเท่าตัว ต้นทุนพลาสติกปรับลดลง เตรียมประเทศดีล M&A เวียดนาม พร้อมรับรู้ส่วนแบ่งกำไรทันที
SNNP : 1Q66 โตจากการบริโภคในประเทศขยายตัว, หน้าร้อนสินค้าเจเล่ขายดี รวมถึงรายได้ต่างประเทศปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในประเทศเวียดนาม
ที่มา : ทีมวิเคราะห์หลักทรัพย์
[email protected]