9 พรรคการเมือง ประชันวิสัยทัศน์พัฒนาตลาดทุน-เก็บภาษีหุ้น

25 มี.ค. 2566 | 20:35 น.
อัปเดตล่าสุด :25 มี.ค. 2566 | 20:50 น.

สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเวทีให้ 9 พรรคการเมือง ร่วมประชันนโยบายเศรษฐกิจ- พัฒนาตลาดทุน และนโยบายเก็บภาษีหุ้น หากได้เป็นรัฐบาล

สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เชิญผู้แทนทีมเศรษฐกิจจาก 9 พรรคการเมือง ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ด้านนโยบายเศรษฐกิจและการพัฒนาตลาดทุน หากได้เป็นรัฐบาล ประกอบด้วย

  • พรรคก้าวไกล
  • พรรคชาติพัฒนากล้า
  • พรรคชาติไทยพัฒนา
  • พรรคไทยสร้างไทย
  • พรรคประชาธิปัตย์
  • พรรคพลังประชารัฐ
  • พรรคเพื่อไทย
  • พรรคภูมิใจไทย
  • พรรครวมไทยสร้างชาติ

 

พรรคชาติพัฒนากล้า

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวถึง แนวนโยบายเศรษฐกิจของพรรค ว่า จะเน้นส่งเสริมกลไกลตลาดที่นำไปสู่การแข่งขันที่โปร่งใสและเป็นธรรม นำสู่นโยบายที่เสนอรื้อโครงสร้างเศรษฐกิจหลายๆเรื่อง ทั้งโครงสร้างอุตสาหกรรมพลังงาน เพื่อให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายพลังงานลดลง โดยเปิดให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้า ซึ่งเทคโนโลยีเปิดให้ประชาชนเป็นผู้ผลิตได้ด้วย

ทั้งนี้พรรคฯ ได้นำเสนอ รื้อโครงสร้างการประเมินความเสี่ยงของประชาชนในฐานะผู้กู้ ด้วยการยกเลิกแบล็คลิสต์ กระตุ้นให้เกิดการแข่งขันในสถาบันการเงิน และนโยบายเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน โดยเสนอยุทธศาสตร์ 7 เฉดสี (Spectrum Economy) นำของดีและอยู่ในกระแสหลักของโลก แปรเป็นโอกาสสร้างรายได้ให้กับประชาชน และสร้างรายได้ให้กับประเทศ

          
ด้านนโยบายตลาดทุน เรื่องที่จะดำเนินการโดยเร็ว คือ สิ่งที่ต้องทำให้ดีขึ้น ประเภทหลากหลายสินค้า เปิดโอกาสให้ธุรกิจใหม่ๆเข้ามาในตลาดทุน ทั้งนี้สัดส่วนนักลงทุน กองทุนในประเทศ ปัจจุบันมีสัดส่วน 7- 8% ต่อมูลค่าซื้อขายในแต่ละวัน ถือว่าน้อยเกินไป ซึ่งเรื่องกองทุนมีการเปลี่ยนนโยบายส่งเสริมการลงทุนระยะยาวจาก LTF มาเป็น SSF จึงต้องปรับเงื่อนไขระยะเวลาการลงทุน SSF ให้สั้นลง และทบทวนมาตรการภาษี เพื่อส่งเสริมให้มีการสร้างกลุ่มนักลงทุนที่เป็นสถาบันการเงินในประเทศ มาเป็นผู้คอยซื้อหุ้นเวลาต่างชาติขาย

 

9 พรรคการเมือง ประชันวิสัยทัศน์พัฒนาตลาดทุน-เก็บภาษีหุ้น

พรรคชาติไทยพัฒนา
          
นายสันติ กีระนันทน์ กรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์  พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า พรรคจะเพิ่มโอกาสให้คนฐานราก เพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งทุน เช่น แหล่งเงินทุนเกษตรกรต้องเปลี่ยนจากกองทุนหมู่บ้านเป็นวิสาหกิจหมู่บ้าน และโอกาสสร้างรายได้เสริม ด้วยนโยบายคาร์บอนเครดิต ส่วนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ แทนที่มุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างเดียว มองว่าต้องปรับปรุงเกษตรกรรมด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามา และปรับลำดับความสำคัญด้วยการนำเรื่องความเลื่อมล้ำมาพิจารณาก่อน มากกว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจ
 
ส่วนนโยบายตลาดทุนต้องสังคายนากฏหมาย เอากฏหมายมาจัดหมวดหมู่แยกประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ และเรื่องกระบวนการบังคับใช้กฏหมาย

"ที่ผ่านมา รัฐบาลเวลามองไปที่ตลาดทุนมองด้วยความไม่เข้าใจ จึงอยากให้ผู้บริหารเข้าใจกลไกตลาดทุน เพื่อออกนโยบายได้ถูกต้อง และอยากเห็นคนที่เข้าในตลาดหลักทรัพย์เป็นธุรกิจใหม่ๆมากขึ้น อย่างไรก็ดียืนยันว่า หากพรรคชาติไทยพัฒนาได้เป็นรัฐบาล จะไม่เก็บภาษีหุ้น "

พรรครวมไทยสร้างชาติ

ม.ล.ชโยทิต กฤดากร หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า พรรคมีแนวคิดหารายได้ 4 ล้านล้านบาท ใน 2-3 ปีข้างหน้า โดยเน้นอุตสาหกรรมยานยนต์ ด้วยการเปลี่ยนเป็นรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งปีที่ผ่านมา มีรถ EV 35,000 คัน เป็นเบอร์ 2 ในเอเชียรองจากจีน ซึ่งเราจะรักษาฐานอุตสาหกรรมเดิมและเปลี่ยนเป็นฐาน EV เน้นอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ

สำหรับนโยบายตลาดทุน  เรื่องที่จะดำเนินการโดยเร็ว คือ อยากเห็นกลไกตลาดหลักทรัพย์ช่วยให้นักลงทุนสามารถมีโปรดักส์ใหม่ๆ เช่น กองทุนใหม่ที่ช่วย SME หรือ กองทุนที่จะช่วยธุรกิจ BCG เพื่อเป็นทางเลือกผู้ออมเงินในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มเติม

 


 

ขณะเดียวกันทำให้ตลาดหลักทรัพย์มีความสมัยใหม่ขึ้น มีสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) ถ้าเกิดขึ้นได้ จะสร้างความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ซึ่งรัฐบาลทำแล้วในเรื่องแอปฯ เป๋าตังและสามารถต่อยอดได้เลย ซึ่ง สินทรัพย์ดิจิทัล จะช่วยการลงทุนในตัวหุ้นใช้ดิจิทัลบาท สามารถตรวจสอบได้ในอนาคต เพื่อความโปร่งใสมากขึ้น

ม.ล.ชโยทิต กล่าวถึง แนวคิดการเก็บภาษีซื้อขายหุ้นว่า หากพรรครวมไทยสร้างชาติได้เป็นรัฐบาล จะเก็บภาษีกำไรขายหุ้น (Capital Gain Tax) แต่ไม่เก็บภาษีจากการซื้อขายหุ้น (Transaction Tax)

พรรคไทยสร้างไทย
 
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงนโบายของพรรค ว่าจะเสนอการลดความเหลื่อมล้ำ ด้วยการสร้างพลังคนตัวเล็กให้เกิดความเข้มแข็ง ด้วยการแก้ไขกฏหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ 1,400 ฉบับ ลดการบังคับชั่วคราว โดยออกพ.ร.ก.เพียง 1 ฉบับ ต้องแก้หนี้ครัวเรือน เพราะมีประชาชนกว่า 3-4 ล้านคนที่เป็นหนี้เครดิตบูโรในช่วงโควิด-19 พรรคมีนโยบายให้ทุกคนหลุดจากเครดิตบูโรและทำธุรกิจต่อได้

ส่วนเรื่องรายได้ ต้องสร้างรายได้ ไม่ใช่นโยบายลดแลกแจกแถม ทำให้SME แข็งแรงให้ได้ ทำให้ทุกคนต้องเข้าระบบภาษี ต้องมีกองทุนช่วยเรื่องอินโนเวชั่นแก่ SME นอกจากนี้ พรรคมีนโยบายสร้างความสุข ด้วยการตั้งใจปราบคอร์รัปชั่นในภาคธุรกิจ และเพิ่มโอกาสเรียนฟรีจนจบปริญญาตรี ลดเวลาเรียน 3 ปี เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าตลาดแรงงานได้ตั้งแต่อายุ 18 ปี

ด้านนโยบายตลาดทุน ที่จะดำเนินการโดยเร็ว คือต้องดึงผู้ประกอบการรายเล็กๆเข้าสู่ตลาดทุนให้มากที่สุด การให้ความรู้กับผู้ประกอบดึงบริษัทเหล่านี้มาจัดเป็นกลุ่มก้อนที่สามารถผลักดันให้เติบโตได้ เพราะหลายผู้ประกอบ เมื่อเข้ามาตลาดหลักทรัพย์เจอนักปั่นหุ้น เจอนักลงทุนเทาๆเข้มมาสวมรอย ทำให้ตลาดหลักทรัพย์เสียหาย จึงต้องมีการให้ข้อมูลข่าวสารชัดเจน อย่าให้ความร่วมมือกับบริษัทสีเทาเหล่านี้ 

รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ตลาดหลักทรัพย์ต้องตามให้ทัน สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในตลาดสุขภาพและเรื่อง BCG เรื่องของตลาดคริปโตที่ต้องตามให้ทัน พร้อมยืนยันว่า หากพรรคไทยสร้างไทยได้เป็นรัฐบาลจะไม่เก็บภาษีหุ้นแน่นอน

พรรคภูมิใจไทย
          
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งกรุงเทพฯ พรรคภูมิใจไทย  กล่าวถึงการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจที่จะสร้างอนาคตให้เศรษฐกิจไทยในอีก 4 ปีข้างหน้าว่า ปัญหาหลักทุกอุตสาหกรรม คือ เรื่องหนี้สิน หากไม่แก้ไขจะเดินหน้าเศรษฐกิจไม่ได้ดังนั้นต้องปลดล็อคและผ่อนปรนภาระหนี้ แบ่งเบาภาระหนี้สินให้ได้ก่อน พรรคภูมิใจไทย จึงนำเสนอพักหนี้ ทั้งต้นและดอกเป็นเวลา 3 ปี เพืพ่อให้เวลาภาคธุรกิจได้ใช้เวลาปรับปรุงบริษัท และสามารถกลับมาชำระหนี้สินต่อไป ซึ่งเศรษฐกิจมหภาคก็จะเดินต่อไปได้

ส่วนนโยบายตลาดทุน เรื่องที่จะดำเนินการโดยเร็ว สิ่งสำคัญคือ เรื่องความเชื่อมั่นนักลงทุน  ซึ่งมิติการผลักดันให้เกิดการลงทุน คือ ความเชื่อมั่นของประเทศ แต่มีหลายๆเรื่องๆติดข้อจำกัดในการเข้าสู่ตลาดทุน ซึ่งอยู่ที่ระเบียบข้อบังคับที่เกิดขึ้น นักลงทุน ผู้ประกอบการไทยมีความสามารถแต่ติดขัดเรื่องกฏระเบียบ ทำให้สถานการณ์วันนี้ต้องพิจารณาปรับปรุงระเบียบอย่างไร ทั้งนี้หากพรรคภูมิใจไทยได้เป็นรัฐบาลจะไม่เก็บภาษีหุ้นแน่นอน 

พรรคพลังประชารัฐ
          
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่ปรึกษาคณะกรรมนโยบาย พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า โจทย์ใหญ่ที่สุดสำหรับรัฐบาลหน้า คือ การกระต้นให้ประชาชนปรับตัวหาจุดแข็งของตนเอง โดยแนวทางที่ 1 คือ ทำให้ประชาชนเข้มแข็งขึ้น โดยการลดรายจ่ายพลังงาน เวลานี้หลายพรรคมีนโยบายจะสนับสนุน ลดราคาน้ำมัน ราคาก๊าซหุงต้ม ลดค่าไฟฟ้า แต่แนวคิดของทีมเศรษฐกิจของพรรคจะปฎิรูปโครงสร้างธุรกิจพลังงานครั้งใหญ่ ทำแบบครบวงจร คืนกำไรให้ประชาชน ให้สมดุลมากขึ้น

โจทย์สำคัญ คือทำอย่างไรเอาระบบไฟฟ้า มาสร้างพลังให้กับประชาชน แนวทางที่หนึ่ง ทำให้ประชาชนผลิตไฟฟ้าใช้เอง ในเมืองคือ โซล่าร์รูฟท๊อป และหนึ่งอบต. หนึ่งโรงไฟฟ้า ถือว่า เป็นการปฏิวัติการผลิตไฟฟ้าครั้งใหญ่
นอกจากนี้ นโยบายส่งเสริมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ทีมเศรษฐกิจพรรคมองถึงเรื่องการพัฒนามาตรฐาน ในด้านความปลอดภัยและด้านความน่าเชื่อถือ ไทยเป็นศูนย์อาเซียน ในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า

ทางด้านนโยบายตลาดทุนที่จะดำเนินการโดยเร็ว คือทำอย่างไรให้ตลาดทุนทำงานร่วมกับรัฐบาลหน้าแก้ปัญหาโจทย์ใหญ่ๆ ของประเทศได้ อาทิ วิธีการแก่ปัญหาลูกหนี้ เพราะความสามารถชำระหนี้หายไปกับโควิด-19 กรณีพักหนี้ไม่ได้ให้โอกาสลูกหนี้ตั้งต้นใหม่ อย่างแท้จริง วิธีการที่เหมาะสม คือ เจ้าหนีต้อง Hair Cut เอาก่ไรสะสมจากเจ้าหนี้ คืนให้กับลูกหนี้ ซึ่งเรื่องนี้ตลาดทุนอำนวยความสะดวกได้หรือไม่

ทั้งนี้หากพรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาลเรื่องนี้พรคยังไม่มีนโยบาย แต่ความเห็นส่วนตัวต้องเก็บจากภาษีขายหุ้น (Transaction Tax)

พรรคก้าวไกล

นายวรภพ วิริยะโรจน์ ว่าที่ผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกถ กล่าวว่า นโยบายเศรษฐก็จมหภาค มี 3 วิธีด้วยกัน คือเศรษฐกิจที่รองรับทุกคน เศรษฐกิจที่เท่าเทียมเป็นธรรม และเศรษฐกิจที่ก้าวกระโดดโดยนโยบายตลาดทุนที่จะดำเนินการโดยเร็ว คือ เพิ่มการลงทุน SME ขนาดกลาง ด้วยนโยบายหวยใบเสร็จ ทำให้มีแต้มต่อสู้กับรายใหญ่ได้ โดยหากใน 4 ปีสามารถสร้างผู้ประกอบการรายใหม่ 1 ล้านราย และน่าจะมีประมาณ 10% หรือ 1 แสนรายที่จะเติบโตเข้ามาลงทุนในตลาดทุนได้ รวมไปถึงการเพิ่มจำนวนนักลงทุนในประเทศ คือ เรื่อง Data Economy สามารถแนะนำให้เห็นความสำคัญในการลงทุนได้ และเพิ่มให้นักลงทุนรู้จักการออมมากขึ้น

ส่วนเรื่องแนวคิดเก็บภาษีซื้อขายหุ้นหากได้เป็นรัฐบาล จะเก็บภาษีกำไรขายหุ้น (Capital Gain Tax) แต่ไม่เก็บภาษีขายหุ้น (Transaction Tax)

พรรคประชาธิปัตย์ 

นายพิสิฐ ลื้อาธรรม ประธานนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจระดับมหภาค ต้องไม่สร้างหนี้สาธารณะไม่เป็นภาระต่องบประมาณมากเกินไป และให้แต้มต่อรายเล็กรายใหญ่ โดยใส่เงินในระดับรากหญ้า ใส่เงินในรูปแบบธนาคารหมู่บ้านหมู่บ้านละ 2 ล้านบาท วงเงินรวมไม่เกิน 2 แสนล้านบาท และเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และ กบข. มีเงินไม่ต่ำกว่า 2.6 ล้านล้านบาท มีผู้เกี่ยวข้อง 4 ล้านกว่าคน

โดยพรรคจะปลดล็อก ให้ข้าราชการ 1.2 ล้านคน และเจ้าของเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 3 ล้านคน เอาเงินก้อนนี้ไปซื้อบ้าน ไปวางดาวน์บ้าน ไปลดหนี้บ้าน ซึ่งเงินก้อนนี้มี 3 แสนล้านไปกระตุ้นเศรษฐกิจได้

ส่วนเรื่องนโยบายตลาดทุนที่จะดำเนินการโดยเร็ว คือ เรื่องภาษี ภาครัฐและกระทรวงการคลัง หากจะมีการกำหนดภาษีใดๆต้องมีวิธีคิดให้ชัดเจนกว่านี้ และ เรื่องเทคโนโลยี กฎหมายบริษัทมหาชน สามารถเปิดประชุมออนไลน์ได้ซึ่งปีนี้ปีแรก บริษัทมหาชนประชุมได้กับผู้ถือหุ้น

สิ่งที่อยากทำต่อ คือ การนำเทคโนโลยี่มาใช้ เพื่อให้ตลาดทุนมีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่และเรื่องการดูแลผู้ถือหุ้นรายย่อย การเอาผิดอินไซเดอร์ กฎหมายต้องแก้ไขให้กระชับขึ้น

ส่วนแนวคิดเก็บภาษีซื้อขายหุ้นหากได้เป็นรัฐบาล จะดูแลเรื่องการเก็บ
ภาษีหุ้นเป็นอย่างดี ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่แนวโน้มคงไม่อยากจะเก็บภาษี

พรรคเพื่อไทย

นายเผ่าภูมิ โรจนสกล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเสนอการลงทุนเพื่อปรับโครงสร้างพื้นฐานด้านติจิทัล ซึ่งพรรคประกาศนโยบายดิจิทัลวอลเลตเป็นของตัวเอง ด้วยระบบการชำระเงินรูปแบบใหม่ ด้วยการให้ประชาชนอายุ 16 ปีทุกคน มีเงินดิจิทัลเป็นของตัวเอง และใช่ให้เงินให้ใน 6 เดือน ภายในรัศมี 4 กิโลเมตร ถือเป็นยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว คือ กระตุ้นให้คน 16 ปีทุกคนเริ่มใช้ดิจิทัลวอลเลต และถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ กระตุ้นพร้อมกันทั่วประเทศและเกิดในทุกๆหมู่บ้าน

ด้านนโยบายตลาดทุนจะดำเนินการโดยเร็ว คือ การสร้างจุดเด่น ประเทศไทยมีจุดเด่นภาคบริการและท่องเที่ยว ซึ่งมีสัดส่วนจีดีพีที่สูง แต่มีสัตส่วนที่ต่ำมาร์กตแคปในตลาดหลักทรัพย์ สะท้อนให้เห็นว่า ยังไม่ใช่

ขณะที่แนวคิดเก็บภาษีซื้อขายหุ้น หากได้เป็นรัฐบาลจะเรียกคุยระดมความคิดเห็น แล้วตัดสินอีกที แต่จะไม่เก็บภาษีกำไรขายหุ้น (Capital Gains Tax) และภาษีคริปโตเคอร์เรนซี