SABUY หั่นราคาซื้อ SINGER เหลือ 22 บาท อ้างวิกฤตแบงก์ลามกระทบลงทุน

16 มี.ค. 2566 | 12:19 น.
อัปเดตล่าสุด :16 มี.ค. 2566 | 12:20 น.

SABUY ยันเดินหน้าซื้อหุ้น SINGER ไม่เกิน 123.35 ล้านหุ้น หรือไม่เกิน 15% แต่หั่นราคาเหลือหุ้นละ 22 บาท ใช้งบลงทุนราว 2,713.73 ล้านบาท จากเดิมที่หุ้นละ 27 บาท งบ 3,330.49 ล้านบาท

         

บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SABUY เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการวานนี้ ( 15 มี.ค.66 ) พิจารณาเกี่ยวกับมติคณะกรรมการบริษัทเมื่อ 1 มี.ค.ที่อนุมัติเข้าซื้อหุ้น บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER เพิ่มไม่เกิน 87,951,300 หุ้น ในราคาหุ้นเฉลี่ยไม่เกิน 27 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นไม่เกิน 2,374,685,100 บาท หรือคิดเป็นไม่เกิน 10.70% ของจำนวนหุ้นชำระแล้วของ SINGER ผ่านกระดานซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

และเมื่อรวมการซื้อหุ้นสามัญของ SINGER ในครั้งแรก จะทำให้ SABUY ได้หุ้น SINGER มาเป็นจำนวนไม่เกิน 123,351,300 หุ้น ในราคาหุ้นเฉลี่ยไม่เกิน 27 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นไม่เกิน 3,330,485,100 บาท หรือคิดเป็นไม่เกิน 15%
         

แต่ปรากฏว่ามีเหตุการณ์ทั้งกรณีของ Silicon Valley Bank และ Signature Bank เกิดล้มละลาย (Bank Run) ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) นับตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.66 ในวันที่คณะกรรมการมีมติให้เข้าซื้อหุ้น SINGER เพิ่ม ได้ปิดที่ 1,619.98 จุด โดยตลอดสัปดาห์ SET Index ลดลงไปต่ำสุดที่ 1,523.89 จุด หรือลดลง 96.06 จุด แสดงให้เห็นถึงความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทย

รวมไปถึงข่าวของธนาคารเครดิตสวิสล่าสุดคาดการณ์ว่าจะเป็นข่าวเชิงลบต่อตลาดการเงินทั่วโลกในระยะนี้ และเหตุการณ์ที่มีผลกระทบโดยตรงต่อการลงทุนในหุ้นสามัญของ SINGER ซึ่งอยู่ในธุรกิจการเงินเช่นกัน คณะกรรมการบริษัท จึงได้จัดการประชุม (ด่วน) เพื่อพิจารณาถึงผลกระทบของเหตุการณ์ดังกล่าวต่อการลงทุนของบริษัทฯ ในธุรกรรมซื้อหุ้นสามัญ SINGER รวมไปถึงการลงทุนเพื่อบริหารสภาพคล่องของบริษัทฯ (Trading Portfolio)

และมีมติว่าบริษัทยังคงมีความสนใจในการลงทุนหุ้นสามัญของ SINGER จำนวนไม่เกิน 123,351,300 หุ้น ซึ่งเป็นการลงทุนในระยะยาว แต่เพื่อประโยชน์ของบริษัทและผู้ถือหุ้น จึงมีมติให้มีการทบทวนราคาเข้าซื้อ โดยให้ปรับลดราคามาเป็นหุ้นละ 22 บาท จากเดิม 27 บาท ซึ่งเป็นราคาใกล้เคียงกับมูลค่าตามบัญชีของงบการเงินของ SINGER ที่ราคาหุ้นละ 21.82 บาท ทำให้มูลค่าการลงทุนปรับลดลงจากเดิมเป็นมูลค่าไม่เกิน 2,713,728,600 บาท
 

พร้อมกันนั้น คณะกรรมการบริหารและ/หรือคณะกรรมการการลงทุนควรพิจารณาทบทวนการเข้าลงทุนและใช้ความระมัดระวังในการพิจารณาเข้าลงทุนให้มากยิ่งขึ้น โดยอาจปรับลดน้ำหนักการลงทุนใน Trading Portfolio ในตราสารทุนโดยเฉพาะหุ้นในประเทศไทย ทั้งนี้ เพื่อลดความเสี่ยงในเรื่องของราคาที่อาจปรับลดลงอย่างรวดเร็วหรือได้รับผลกระทบจากเหตุการณที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันตามที่กล่าวข้างต้น