ทรงอย่างแบด-Corner แตก : ราคาหุ้นตกหนักเพราะผลประกอบแย่ ?

18 ก.พ. 2566 | 19:09 น.
อัปเดตล่าสุด :18 ก.พ. 2566 | 19:23 น.
1.3 k

ช่วงเร็ว ๆ นี้ โดยเฉพาะสัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้นขนาดกลางและเล็กหลายตัวและหลาย “กลุ่ม” ที่มีความสัมพันธ์กันทางด้านบริษัทและผู้ถือหุ้นใหญ่ ตกลงมาแรงอย่าง “พร้อมเพรียงกัน”

บางตัวและบางกลุ่มตกลงมาแล้วถึง 30-50% จากจุดสูงสุด  โดยที่เหตุผลส่วนใหญ่ก็คือ ผลประกอบการหรือการคาดการณ์ว่าผลประกอบการที่ประกาศ  “น่าผิดหวัง” แต่ที่จริงบางตัวก็ไม่ได้น่าผิดหวังมาก กำไรยังโตขึ้นด้วยซ้ำแต่ก็เป็นการโตที่น้อยกว่าที่ตลาดคาด ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผลประกอบการที่แย่ลงแค่นั้น โดยปกติก็ไม่น่าจะทำให้ราคาหุ้นต้องตกลงมาขนาดนั้น

สิ่งสำคัญที่ทำให้หุ้นตกหนักมากน่าจะอยู่ที่ปรากฎการณ์ที่ผมเรียกว่า “Corner แตก”  ซึ่งความหมายก็คือ  หุ้นเหล่านั้นถูก “Corner” หรือ “ต้อนเข้ามุม” หรือกวาดซื้อโดยเฉพาะจากนักลงทุนรายใหญ่ที่อาจจะไม่สนใจเรื่องของ “มูลค่าพื้นฐานของหุ้น” มาก่อน  ซึ่งทำให้ราคาหุ้นสูงผิดปกติไปมาก  บางทีหลาย ๆ  เท่าเมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริง  และในกระบวนการที่หุ้นวิ่งขึ้นไปแรงและสูงมากนั้น 

ทำให้มีคนเชื่อและมีนักลงทุนโดยเฉพาะรายย่อยจำนวนมากเข้าร่วมเล่นเก็งกำไรในหุ้นตัวนั้นโดยที่คิดว่ามันคือ “หุ้นดีสุดยอด” แต่เมื่อผลประกอบการออกมาที่แสดงว่ามันไม่จริงหรือเป็นเรื่องหลอกลวง  คนบางคนก็เทขายหุ้น ทำให้หุ้นตก  และก็ทำให้คนอื่นเทขายตามในขณะที่คนซื้อโดยเฉพาะที่เป็นรายใหญ่  “รับไม่ไหว” หุ้นจึงตกลงมาแรง
 

คนที่เล่นหุ้นที่ถูก Corner รวมถึงรายใหญ่ที่เป็นคน Corner หุ้นนั้น  จำนวนมากอาศัยการกู้เงินหรือซื้อหุ้นด้วยมาร์จิน  เพื่อ “เพิ่มพลัง” การเล่นและการทำ Corner นั่นก็คือ  อาจจะสามารถซื้อหุ้นเพิ่มได้เป็น 2 เท่า  ทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปได้อาจจะ 4 เท่า  ทำกำไรเพิ่ม “บนกระดาษ” เพิ่มขึ้น 8 เท่า  ก่อนที่จะเริ่ม “ออกของ” หรือ “ทยอย” ขายทำกำไรเป็นเงินสดจริงเมื่อนักลงทุนส่วนใหญ่รวมถึงนักลงทุนที่  “ชาญฉลาด” อย่างนักลงทุนสถาบันเชื่อว่ามันคือ “หุ้นดี  โตเร็ว  และ ไม่แพง” แม้ว่าจะมีค่า P/E กว่า 40-50 เท่าขึ้นไป

แต่การประกาศหรือการรู้ว่าผลประกอบการจะออกมาไม่ดีได้ทำลายโอกาส “ออกของ” อย่างเป็นระเบียบราบรื่น  หุ้นที่ตกลงมาแรงจนถึงจุดที่คนซื้อด้วยมาร์จินบางคนถูกบังคับขายซึ่งทำให้หุ้นตกลงมาอีก  จนถึงจุดที่อีกคนหนึ่งจะต้องถูกบังคับขายตาม  และกระบวนการนี้ก็กลายเป็น “ปฏิกริยาลูกโซ่” หุ้นถูกเทขายจน “ถล่มทลาย” และเมื่อราคาลงมาแรงขนาดนั้น  นักลงทุนรวมถึง “ผู้ชาญฉลาด” ก็ “ขาดความมั่นใจ” และก็ “เปลี่ยนมุมมองต่อหุ้น”  ว่ามันไม่ดีอย่างที่เคยคิด  แม้ว่าเมื่อ 2-3 เดือนก่อนยังบอกว่าเป็นหุ้น “สุดยอด”


 

การ Corner หุ้นในตลาดไทยนั้น ในระยะหลังๆ  มีการพัฒนาไปมาก  เฉพาะอย่างยิ่งก็คือนัก Corner หุ้นรายใหญ่หรือคนที่เคยทำแล้วประสบความสำเร็จและมีเม็ดเงินเพิ่มขึ้นมาก  ต่างก็ขยายไปทำหุ้นตัวอื่นที่มองแล้วมีโอกาสทำสำเร็จได้ง่ายแบบที่เคยทำ  ดังนั้น  คนๆเดียวจึงมักจะ Corner หุ้นหลายตัว  เช่นเดียวกับนักเล่นหุ้นเก็งกำไรรายย่อยก็เล่นหุ้น Corner หลายตัวพร้อมๆ  กัน  คนต่างก็เชื่อว่าการทำแบบนี้จะได้ผลดีขึ้น  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  สร้าง “ความน่าเชื่อถือ” ให้กับตัวหุ้นแต่ละตัวว่าจะต้องประสบความสำเร็จแน่นอน  เพราะ “จ้าว” รายนี้หรือกลุ่มนี้เข้าเล่นตัวนี้การันตีได้ว่า  “ไม่ผิดหวัง”  แน่นอน  ดังนั้น  หุ้นที่ถูก Corner ในตลาดจึงเต็มไปด้วย  “เครือข่าย” โยงใยกัน  เวลาวิ่งขึ้นก็ไปพร้อมกัน  และเวลาลงก็ลงพร้อมกัน  เพราะเงินมาจากกระเป๋าเดียวกัน

ประเด็นสำคัญต่อไปก็คือ  “Corner” ของหุ้นแต่ละตัวนั้น  แตกไปแค่ไหนแล้ว?  เราคงไม่อยากเข้าไป “เล่น” ถ้ามันแตกไปแค่ “ครึ่งเดียว”  เพราะในไม่ช้ามันก็จะแตกต่อไปจนหมด  ราคาหุ้นมีการซื้อขายเป็นธรรมชาติร้อยเปอร์เซ็นต์ที่มักจะสะท้อนออกมาที่ราคาหุ้นที่ยุติธรรม  มีค่า “P/E ปกติ” ตามอุตสาหกรรมและคุณสมบัติของตัวบริษัท  เช่น  ถ้าเป็นสถาบันการเงินก็อาจจะบอกว่าต้องรอให้มีค่า PE ประมาณ 10 เท่าก่อนที่จะพิจารณาซื้อหุ้นลงทุน เป็นต้น

โดยปกติถ้า Corner แตกหมดแล้ว  ปริมาณการซื้อขายหุ้นจะลดลงมากอย่างมีนัยสำคัญ  ราคาหุ้นก็จะตกลงไปมาก  ขนาดตกลงไป 70-80% จากราคาสูงสุดก็เป็นไปได้  บางทีเราก็อาจจะต้องดูว่า  ราคาก่อนที่จะมีการ Corner หุ้นนั้น  เป็นเท่าไร  เพื่อที่จะดูว่าราคาหุ้นที่เหมาะสมตามพื้นฐานควรจะเป็นเท่าไร 

อย่างไรก็ตาม  สิ่งต่าง ๆ  เหล่านั้นเป็นเพียงแนวทางเริ่มต้นที่จะดู สาเหตุเพราะว่า  ในบางครั้ง  กิจการของบริษัทอาจจะดีขึ้นจริง  ราคาหุ้นอาจจะขึ้นไปได้ตามที่ควรจะเป็นแม้ว่าจะไม่มีการ Corner หุ้น  อย่างไรก็ตาม  ในสถานการณ์ที่กิจการดีขึ้นตามปกตินั้น   ส่วนใหญ่แล้วราคาพื้นฐานของหุ้นก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเร็วมากมายเป็นหลาย ๆ  เท่าในเวลาแค่ 2-3 ปีได้ถ้าไม่มีการ Corner หุ้นไม่ว่าจะตั้งใจทำหรือไม่ก็ตาม

หุ้นที่ถูก Corner บางตัวที่  “แตก” ลงมาระดับหนึ่งเช่น  “ครึ่งเดียว” นั้น  ผมคิดว่าเป็นเพราะยังมีรายใหญ่ที่  “ค้ำ” อยู่  ไม่ยอมทิ้งให้หุ้นตกลงไปถึงพื้น  เหตุผลก็เพราะว่าถ้าปล่อยแบบนั้น  ความมั่งคั่งก็จะหายไปหนักมาก  พูดง่าย ๆ  เขาอาจจะ “สู้ต่อ”  และก็หวังว่าวันหนึ่งเมื่อท้องฟ้าโปร่ง  สถานการณ์ดี 

กำไรบริษัทดีกลับขึ้นมา  เขาหรือนักลงทุนรายใหม่ก็จะสามารถกลับมา Corner หุ้นและทำกำไรจากหุ้นได้อีก  และนี่ทำให้ผมนึกถึง หุ้นยักษ์” บางตัวที่อยู่ในCorner และก็ “แตก”  และก็กลับมา Corner ใหม่  แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม  ในระยะยาวพอสมควร  หุ้นที่มีราคาเกินพื้นฐานไปสุดกู่  เช่น เกินไป 100% จากมูลค่าพื้นฐานขึ้นไปก็มักจะอยู่ไม่ได้  จะต้องมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างทำให้ Corner แตก  โดยเฉพาะถ้าหุ้นตัวนั้นไม่ใช่  “One Shareholder Company” คือ  ผู้ถือหุ้นรายเดียวหรือครอบครัวเดียวถือหุ้นอยู่เกิน 70-80% ขึ้นไป

ประเด็นสุดท้ายก็คือ  เป็นไปได้ไหมว่า  การที่หุ้นขึ้นไปแรงมากเป็นหลาย ๆ  เท่าในเวลาอันสั้น  และตกลงมาแรงมากเป็นหลายๆสิบเปอร์เซ็นต์ ทั้งๆ ที่ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเป็นพิเศษนั้น  เป็นแค่เรื่องของการเก็งกำไรธรรมดา  โดยที่หุ้นขึ้นเพราะว่ามันดีมากในสายตาของนักลงทุนบางคนเขาจึง “ไล่ซื้อ”  เช่นเดียวกับเวลาที่เกิดเหตุการณ์ไม่ดีหรือนักลงทุนบางคน “เปลี่ยนมุมมอง” แล้วก็ “เทขาย” ไม่ได้มีใครมา “ปั่นหุ้น” โดยการทำ “Corner” การซื้อขายทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมชาติ?  และว่าที่จริง  นักลงทุนแนวเน้นหุ้นเติบโต  หรือ “Growth Investor” เขาก็ซื้อขายหุ้นแนวนี้และไม่สนใจเรื่องของราคาว่าจะแพงมากแค่ไหน

ข้อนี้ผมเองได้สังเกตและวิเคราะห์จากข้อมูลของ “หุ้นเติบโต” เช่น ในตลาดหุ้นอเมริกันก็พบว่าไม่สามารถนำมาอธิบายหุ้นที่ถูก Corner ในตลาดหุ้นไทยได้  จริงอยู่  มีบางอย่างคล้าย ๆ  กัน  แต่ระดับของกิจกรรมและการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นนั้นแตกต่างกันมาก  และหุ้นสหรัฐที่มีพฤติกรรมแบบหุ้นที่ถูก Corner ของไทยนั้นมักจะมีแต่  “หุ้นที่จะเปลี่ยนโลกจริง”เท่านั้น

ที่จะหวือหวาและขึ้นลงแรงแบบนั้น  ตัวอย่างเช่น หุ้นเฟซบุ๊คช่วงเข้าตลาดหุ้นใหม่ ๆ  หรือหุ้นอย่างเทสลาเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ซึ่งผมเองก็ยังสงสัยและรู้สึกว่า เทสลาอาจจะไม่ใช่หุ้นเปลี่ยนโลกด้วยซ้ำ  แต่เป็นหุ้นที่ถูก Corner ในสถานการณ์พิเศษของอเมริกาที่เกิดการเก็งกำไรสุดกู่ในตลาดหุ้นช่วงโควิด-19   ซึ่งในกรณีของหุ้นไทย  ผมไม่เห็นเลยว่าจะมีบริษัทไหนที่จะเป็นแบบนั้น

ข้อสรุปสุดท้าย  ของผมต่อเรื่องของหุ้นที่ถูก Corner ก็คือ ผมจะหลีกเลี่ยงไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง  ไม่ว่าจะเข้าไปร่วมเล่นหรือมีส่วนเข้าไป Corner เองแม้โดยไม่ตั้งใจ  นอกจากนั้น  แม้ว่า Corner อาจจะแตกไปแล้ว  ไม่ว่าจะบางส่วนหรือทั้งหมดซึ่งทำให้ราคาหุ้นอาจจะไม่ได้แพงเมื่อเทียบกับพื้นฐานผมก็ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย  ผมไม่อยากเล่นกับหุ้นที่มีความผันผวนหนักและคาดการณ์ยาก  ผมอยากใช้ชีวิตการลงทุนที่ทำแบบชิล ๆ  อยู่กับหุ้นได้นาน ๆ  และไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนเพราะ Corner แตก  โดยไม่ต้องกังวลกับเหตุการณ์อะไรมากนักแม้ว่าพอร์ตอาจจะโตช้าลงไปบ้าง