ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานสัมมนา GO THAILAND : ธุรกิจไทยต้องไปต่อ โดยระบุว่า ปี2566 ธุรกิจประกันภัยยังมีโอกาสในวิกฤติ แม้ว่าที่ผ่านมาจะรับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19
ทั้งนี้ แนวโน้มปีหน้า คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.)ประเมินธุรกิจประกันภัยจะมีอัตราการเติบโต ไม่เกิน 2% โดยอยู่ที่ประมาณ -0.05%ถึง+1.95% มีเบี้ยรับประกันโดยตรงประมาณ 8.9แสนล้านบาท บนสมมติฐานอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจขยายตัวประมาณ 3-4%
สำหรับปัจจัยสนับสนุนมาจากภาครัฐมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นทั้งกำลังแรงงานในประเทศและต่างประเทศ จึงเป็นโอกาสของธุรกิจทั้งวินาศภัยและประกันชีวิต
รวมทั้งภาคเอกชนที่จะมีการลงทุนมากขึ้น รวมถึง ภาคการท่องเที่ยวที่มีการปรับปรุงโรมแรม และสถานบริการต่างๆ รวมทั้ง กระแสความนิยมรถยนต์ไฟฟ้า(รถEV)มากขึ้น
ขณะเดียวกันการระบาดของโควิดและการเข้าสู่ สังคมสูงวัยซึ่งเตรียมงบประมาณเพื่อการดำรงชีวิตหลังเกษียณ
เหล่านี้ เป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตธุรกิจประกันภัยให้ขยายตัวควบคู่ไปกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวม
นอกจากนี้ปัจจัยลบ ไม่ว่าอัตราเงินเฟ้อหรือ ความขัดแย้งระหว่างภูมิรัฐศาสตร์ในหลายประเทศทำให้เบี้ยประกันภัยสูงขึ้น ซึ่งทุกบริษัทประกันภัยจะมีต้นทุนที่สูงขึ้นทั้งในปีนี้และปีหน้า
ขณะเดียวกันการเข้ามาดิสรัปของดิจิทัลหรือเทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะส่งผลต่อภัยพิบัติหรือโรคอุบัติใหม่ ซึ่งธุรกิจประกันภัยสามารถ เข้าไปดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมและเป็นผู้บริหารจัดการความเสี่ยง ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
เมื่อโลกเปลี่ยนระบบประกันภัยจะเป็นเรื่องWell Being ไม่ใช่การชดเชยความสูญเสียทางเศรษฐกิจให้กับผู้เอาประกันอีกต่อไป แต่จะเป็นเรื่องทำให้เกิดความสมดุลของการจ่ายเบี้ยประกันภัยที่เหมาะสม เช่น นำเทคโนโลยีมาใช้ดูพฤติกรรมผู้เอาประกันหากพฤติกรรมดีก็จะสามารถลดเบี้ยให้เป็นกรณีพิเศษแต่พฤติกรรมตรงกันข้ามต้องคิดเบี้ยเพิ่ม
"ยังมีความเสี่ยงเกิดขึ้นมากมายในอนาคต ซึ่ง ธุรกิจประกัยภัยจะเป็นเรื่อง Well Being ของประชาชน และในแง่ของบริษัทหรือผู้ประกอบการสามารถทำประกันภัยในการดูแลพนักงานโดยไม่ต้องรับความเสี่ยง เรื่องสวัสดิการค่าใช้จ่ายข้าราชการปีที่ผ่านมา 7.5หมื่นล้านบาท และปีนี้ราว 8หมื่นล้านบาท และปีต่อไปอาจจะเพิ่มขึ้นประมาณ 5-7%ต่อปีซึ่งสามารถเอาสิ่งที่เพิ่มขึ้นทำประกันภัย ซึ่ง 5ปีก่อนตอนนั้นงบประมาณอยู่ที่ 6หมื่นล้านบาทต่อปีเพิ่มขึ้นประมาณ 7% ถ้ารัฐบาลซื้อประกันภัยผมการันตีว่าเบี้ยงบประมาณจะไม่เพิ่มขึ้น 7%ทุกปีและเชื่อมั่นว่าจะประหยัดงบประมาณได้"
ดร.สมพร กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา 5 ปีก่อน เคยเสนอภาครัฐ สามารถนำสวัสดิการส่วนที่เพิ่มขึ้นซื้อประกันภัยโดยบริษัทประกันจะบริหารภัยและความเสี่ยงทำให้เกิดการประหยัดงบประมาณได้
เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่า ประมาณ 70% ของข้าราชการที่เข้ารักษาตัวอยู่ใน 120 โรงพยาบาล
ทั้งนี้ หากภาครัฐซื้อประภัย ทางบริษัทประกันจะสามารถควบคุมต้นทุนได้และสามารถรู้ว่าข้าราชการเป็นโรคเรื้อรัง โดยสามารถวางแผนการรักษาพยาบาลได้ด้วย