ตลท. ขึ้นเครื่องหมาย SP ห้ามซื้อขาย "หุ้น MORE" พรุ่งนี้ (14 พ.ย.65)

13 พ.ย. 2565 | 21:08 น.
อัปเดตล่าสุด :14 พ.ย. 2565 | 04:43 น.
12.9 k

จับตา ตลท. ตั้งโต๊ะแถลงพรุ่งนี้(14 พ.ย. 65) เตรียมขึ้นเครื่องหมาย SP ห้ามซื้อขายหุ้น "MORE" ขณะที่ ปปง. ลุยสอบธุรกรรมการเงินผิดปกติ

ความคืบหน้าปัญหาการซื้อขายหุ้น บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด(มหาชน) หรือ "หุ้น MORE" หลังจากเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 มีการตั้งคำสั่งซื้อ(ATO) ที่ราคา 2.90 บาท มีปริมาณการซื้อขายที่  1,531.77 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 4,442.13 ล้านบาท ก่อนจะถูกถล่มติดฟลอร์สนิทตั้งแต่เวลาประมาณ 11.30 น. และต่อเนื่องถึงเช้าวันศุกร์ที่ติดฟลอร์ตั้งแต่เปิดการซื้อขายที่ราคา 1.37 บาท

 

ล่าสุดนายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) และ นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย จะร่วมกันแถลงข่าว "แนวทางการแก้ไขปัญหากรณีหุ้น บมจ. มอร์ รีเทิร์น (MORE) ในวันจันทร์ 14 พฤศจิกายน 2565 เวลา 9:00 น. ที่ห้องประชุมเสรี จินตนเสรี ชั้น 7 อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ 

 

แหล่งข่าวจากตลท. เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า หนึ่งในประเด็นสำคัญที่จะแถลงคือ จะมีการขึ้นเครื่องหมาย "SP" ห้ามซื้อขายหุ้น MORE เป็นการชั่วคราว


หลักเกณฑ์การขึ้นเครื่องหมาย "SP"

  • เป็นเครื่องหมายแสดงการห้ามซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียนเป็นการชั่วคราว โดยแต่ละครั้ง มีระยะเวลาเกินกว่าหนึ่งรอบการซื้อขายซึ่งตลาดหลักทรัพย์มีหลักเกณฑ์ในการขึ้น เครื่องหมาย SP ดังนี้
  1. เมื่อเกิดกรณีเช่นเดียวกับข้อ 1 ถึง 3 ของการขึ้นเครื่องหมาย H และตลาดหลักทรัพย์ เห็นว่าบริษัทไม่สามารถชี้แจงหรือเปิดเผยข้อมูลได้ในทันที
  2. บริษัทฝ่าฝืนหรือละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ คำสั่ง มติคณะกรรมการ ข้อตกลง ตลอดจนหนังสือเวียน ที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนดให้บริษัทปฏิบัติตาม
  3. บริษัทไม่นำส่งงบการเงินให้ตลาดหลักทรัพย์ภายในเวลาที่กำหนด
  4. หลักทรัพย์อยู่ระหว่างการพิจารณาเพิกถอนหรืออยู่ระหว่างการปรับปรุงสถานภาพเพื่อให้ พ้นข่ายการถูกเพิกถอน
  5. หลักทรัพย์จะครบกำหนดเวลาในการไถ่ถอนหรือการแปลงสภาพหรือการใช้สิทธิหรือ การขายคืน
  6. มีเหตุการณ์ที่อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการซื้อขายหลักทรัพย์

 

ปปง.ลุยสอบปมซื้อขายหุ้น MORE

 

หลังมีข่าวว่าการซื้อขายหุ้น MORE เปลี่ยนแปลงไปอย่างผิดปกติ ส่งผลที่สร้างความเสียหายให้นักลงทุนและโบรกเกอร์มูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท ทางสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบว่ามีการทำธุรกรรมที่ผิดปกติจริงหรือไม่ 

 

พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ ปปง. เปิดเผยภายหลังการหารือว่า จากการร่วมรับฟังการหารือในที่ประชุม บริษัทโบรกเกอร์ ยืนยันว่า เมื่อวัน 10 พ.ย. 2565 มีธุรกรรมที่ผิดปกติ จึงขอทำการตรวจสอบธุรกรรมที่เกี่ยวกับหุ้น MORE ซึ่งในรายละเอียดการตรวจจะต้องให้แต่ละบริษัทไปดำเนินการก่อน

 

ปปง.ได้ให้หลักการไปว่าลูกค้าที่บริสุทธิ์ ไม่มีธุรกรรมที่ผิดปกติ ก็จะต้องดูแล เพราะมีการซื้อขายหุ้นจำนวนมากทั้งรายใหญ่และรายย่อย อาจจะมีผลกระทบโดยรวมในตลาดหลักทรัพย์ได้จึงต้องพยายามระมัดระวังและดูแลลูกค้าก่อน ส่วนความเสียหายค่อยเอาไว้ทีหลัง และวันนี้เงินที่จะต้องจ่ายให้ผู้ขาย ทุกบริษัทได้เตรียมเงินมาจ่ายให้ตามปกติไม่ได้มีการผิดพลาด

 

อย่างไรก็ตามในขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นดำเนินคดี เพราะยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบหลังจากพบธุรกรรมที่ผิดปกติ ก็จะต้องตรวจสอบก่อนว่าผิดปกติจริงหรือไม่ และวันนี้เป็นการมารวบรวมข้อมูลของโบรกเกอร์ต่างๆและแยกย้ายกันไปตรวจสอบลูกค้าของตัวเอง แล้วจะนำข้อมูลที่ตรวจสอบแล้วกลับมาหารือกันอีกครั้งว่า มีความผิดปกติหรือไม่อย่างไร

 

หากผิดปกติ มีจำนวนเงินเท่าไรและไปมีความเกี่ยวพันกับใครบ้าง จึงต้องให้เวลาในการไปตรวจสอบก่อน เพราะเหตุเพิ่งเกิดขึ้น และการซื้อขายหุ้นก็เป็นการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ธรรมดา หากจะไปบอกว่าผิดปกติโดยไม่มีข้อมูลสนับสนุนไม่สามารถทำได้

 

อย่างไรก็ตามจะต้องรอดูวันจันทร์ที่ 14 พ.ย. 2565 อีกครั้ง ว่าผลการกลับไปตรวจสอบของแต่ละบริษัทนั้นจะพบความผิดปกติอย่างไรบ้าง และมีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมบ้าง แล้วนำข้อมูลกลับมาวิเคราะห์ ซึ่งก็จะต้องเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด

 

หากพบว่ามีความผิดก็จะต้องดำเนินคดี แต่หากมีความเกี่ยวพันกับลูกค้าบริษัทโบรกเกอร์ก็จะต้องดูแลลูกค้าเป็นลำดับแรกก่อน หากมีการซื้อขายที่ถูกต้องเพื่อให้เกิดความมั่นใจทุกคนก็พร้อมที่จะจ่ายเงิน

 

ในส่วนขั้นตอนของ ปปง.หลังจากนี้ก็จะรับข้อมูลมาเพื่อตรวจสอบเพิ่มเติม หากมีรายชื่อบุคคลต้องสงสัย ปปง.ก็จะต้องเข้าไปตรวจสอบธุรกรรมเพิ่มเติมว่าบุคคลต้องสงสัยดังกล่าว มีการทำธุรกรรมที่สำแดงและไม่สำแดงหรือไม่ มีหลบการดำเนินการที่ปิดบังอะไรหรือไม่

 

ส่วนกรณีที่มีข้อมูลว่าไฮโซดังแก๊งค์ซุปเปอร์คาร์ เทหุ้นMORE ผ่าน NVDR ทำให้หุ้นดิ่งนั้น ขณะนี้ทาง ปปง.ยังไม่มีข้อมูล ซึ่งปปง.จะต้องรอข้อมูลจากผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดก่อน แล้วจึงจะนำข้อมูลมาสังเคราะห์อีกครั้ง