บลจ.วรรณ แนะปรับพอร์ตตราสารหนี้ กระจายลงทุน

25 เม.ย. 2565 | 16:03 น.
อัปเดตล่าสุด :25 เม.ย. 2565 | 23:03 น.

บลจ.วรรณ แนะกระจายการลงทุน ปรับพอร์ตกองทุนรวมตราสารหนี้ Investment grade ผสม High Yield Bond สู้เงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น จากปัจจัยบวกการเปิดประเทศ แถมสงครามรัสเซีย-ยูเครนยังไม่ได้ข้อสรุป

นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) วรรณ จำกัดเปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากในปีนี้ จากการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown เปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทำให้ความต้องการสินค้าต่างๆ ของผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ผู้ผลิตสินค้าไม่สามารถจะผลิตทันตามความต้องการ เกิดปัญหาคอขวดในห่วงโซ่อุปทาน (Supply-chain disruption) ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น

บลจ.วรรณ แนะปรับพอร์ตตราสารหนี้ กระจายลงทุน

นอกจากนี้ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันและพลังงานปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี เพิ่มแรงกดดันต่อ อัตราเงินเฟ้อ ทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นเป็นอย่างมาก จนทำให้ธนาคารกลางของประเทศหลักหลายรายต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ เช่น ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) และ อังกฤษ (BOE) ขณะที่ประเทศไทยนั้นอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวสูงขึ้นมากด้วยเช่นกัน

อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น ประกอบกับส่งครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังยืดเยื้อส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น มีความผันผวนสูง ซึ่งบลจ.วรรณ มองเป็นโอกาสในการสะสมหุ้นเติบโตและพื้นฐานดีในช่วงที่ตลาดปรับตัวย่อลง แต่ในแง่ของการจัดพอร์ตการลงทุนที่ดี 

 

บริษัทยังคงแนะนำให้จัดสรรสินทรัพย์การลงทุนในพอร์ตให้มีความหลากหลาย ดังนั้น การลงทุนสินทรัพย์ตราสารหนี้ ยังคงเป็นอีกส่วนที่กระจายการลงทุนของพอร์ต ทั้งนี้ การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ Investment Grade  อาจจะยังให้ผลตอบแทนที่ไม่สูงมากนัก จึงควรมีการปรับพอร์ตการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ ให้มีตราสารหนี้ประเภท High Yield Bond เพื่อรับผลตอบแทนที่ดีเพิ่มขึ้น

 

ดังนั้น บริษัทฯแนะนำ กองทุนเปิด วรรณ ตราสารหนี้ไทย 2Y ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (ONE-TFIN2Y-AI) ลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บาท ซึ่งจะเปิดเสนอขายระหว่างวันที่ 25 เมษายน – 5 พฤษภาคม 2565 ซื้อได้ครั้งเดียวเฉพาะช่วง IPO เท่านั้น  ซื้อเพิ่ม/ขายคืนระหว่างอายุโครงการไม่ได้ คาดผลตอบแทนรวมหลังหักค่าใช้จ่ายที่ 6.80% (3.40% ต่อปี) จากอายุโครงการ 2 ปี

กองทุนจะพิจารณาลงทุนในตราสารหนี้ที่เสนอขายในประเทศไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าสินทรัพย์การลงทุน ซึ่งจัดสัดส่วนการลงทุนทั้งในตราสารหนี้ในประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือที่สามารถลงทุนได้ (Investment grade) และตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าที่สามารถลงทุนได้ (Non–Investment grade) หรือตราสารหนี้ที่ไม่ได้รับการจัดอันดับ (unrated)

 

“การลงทุนในตราสารหนี้ Non–Investment grade หรือ unrated bond  (Hight Yield Bond)  นับว่ามีความเสี่ยง  ส่วนหนึ่งเพราะเป็นตราสารหนี้ที่ไม่ได้รับการรับการจัดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือจากสถาบันการเงิน อาจจะด้วยปัจจัยที่ต่างกัน”นายพจน์กล่าว

 

อย่างไรก็ตาม การเลือกลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีพอร์ตผสมระหว่างตราสารหนี้ระดับที่ลงทุนได้ (Investment grade) และ  เป็นตราสารหนี้ที่มีอันดับต่ำกว่า Investment grade (ต่ำกว่า BBB-)  รวมถึงตราสารหนี้ของบริษัทที่ไม่ได้จัดทำอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated Bonds) ถือเป็นการลดความเสี่ยงระดับหนึ่ง หากเทียบกับการลงทุนในตราสารหนี้ Hight Yield Bond โดยตรง รวมทั้งเป็นตราสารหนี้ที่บริษัทจัดการได้พิจารณาแล้วว่าแม้ไม่มีการจัดอันดับแต่มีความน่าเชื่อถือและสามารถลงทุนได้

 

ทั้งนี้ จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินล่าสุด ระบุว่า อัตราเงินเฟ้อซึ่งเกิดจากราคาพลังงานที่สูงขึ้นไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้มีการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะเห็นเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างชัดเจน ดังนั้นในส่วนของการลงทุนในตราสารหนี้ของไทยจึงไม่น่ากังวลการขาดทุนในระยะสั้นเหมือนกับในต่างประเทศ  กองทุนฯ ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยตราสารหนี้ที่ประมาณ 2 ปี ซึ่งถือว่าไม่นานจนเกินไป ช่วยลดความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างทางก่อนที่ตราสารจะครบกำหนดอายุสัญญาได้ ขณะที่อายุเฉลี่ยของหุ้นกู้ Investment grade ของไทย ปัจจุบันอยู่ที่ราว 3 ปีขึ้นไปและมีผลตอบแทนต่อปีใกล้เคียงกันกับกองทุนของบริษัทแล้วแต่ความเสี่ยง

 

ปัจจุบัน การลงทุนใน High Yield Bond ประเภท Unrated ของไทยมีอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (Coupon Rate) อยู่ที่ประมาณ 6.25% - 7.50% โดยมีอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้อยู่ 1-3 ปี (ข้อมูลจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ณ 28 ก.พ. 2565)  แม้ว่า High Yield Bond จะมีความเสี่ยงที่สูงกว่า Investment Grade Bond แต่ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยในอดีตของ High yield bond ค่อนข้างโดดเด่นอย่างมาก โดยจากข้อมูลสถิติในอดีตในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีของ Bloomberg Global High Yield Total Return Index อยู่ที่ประมาณ 4.92% ซึ่งมากกว่าการลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพสูงใน Bloomberg Global Aggregate Corporate Total Return Index ซึ่งมีผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 2.63% ดังนั้น บริษัทมองว่าการลงทุนบน High Yield Bond มีความน่าสนใจและสามารถนำมาเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนบนตราสารหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

สำหรับ ตัวอย่างการลงทุนในพอร์ตของกองทุน ONE-TFIN2Y-AI โดยตราสารหนี้ที่อยู่ระดับ Investment grade มีสัดส่วนการลงทุนกว่า 50% ได้แก่

  • บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
  • บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)
  • บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
  • บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)
  • บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) 

 

ขณะที่ตัวอย่างตราสารหนี้ในระดับต่ำกว่า Investment grade และ Non-rated ได้แก่

  • บริษัท ไมโครลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน)
  • บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) 
  • บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
  • บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน)
  • บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จำกัด (มหาชน)

 

ทั้งนี้ กองทุน ONE-TFIN2Y-AI เหมาะสำหรับผู้ลงทุนผู้ลงทุนที่สามารถลงทุนได้ตลอดอายุกองทุน ระยะเวลาประมาณ 2 ปี และคาดหวังผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วไป