ดาวโจนส์ปิดร่วง 368 จุด หลังพาวเวลส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย 0.5%

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,792.76 จุด ลดลง 368.03 จุด หรือ -1.05%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,393.66 จุด ลดลง 65.79 จุด หรือ -1.48% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,174.65 จุด ลดลง 278.41 จุด หรือ -2.07%
         

ในช่วงแรกนั้น ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นเกือบ 300 จุด ขานรับข้อมูลแรงงานและผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงเทสลา และอเมริกัน แอร์ไลน์ แต่หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ดัชนีดาวโจนส์ และดัชนี Nasdaq ก็ร่วงลงทันที       

ทั้งนี้ นายพาวเวลได้กล่าวสุนทรพจน์ ว่าด้วยเศรษฐกิจโลกในการประชุมกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เมื่อคืนนี้ตามเวลาไทย โดยระบุว่า "การเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อถือเป็นการดำเนินการที่เหมาะสม และมีความเป็นไปได้ที่เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.5% ในการประชุมเดือนพ.ค.นี้"

หลังการกล่าวสุนทรพจน์ของนายพาวเวล FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักมากถึง 97.6% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.5% ในการประชุมเดือนพ.ค.
         

หุ้นทั้ง 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง 3.1% โดยหุ้นเชฟรอน ดิ่งลง 4.64% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ร่วงลง 3.9% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ลดลง 1.06% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ร่วงลง 1.67%
         

ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสารซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย ดิ่งลง 2.41% โดยหุ้นเมตา แพลตฟอร์มส ร่วงลง 6.16% หุ้นแอมะซอน ร่วงลง 3.7% หุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลง 1.94% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ร่วงลง 3.52% หุ้นอัลฟาเบท ร่วงลง 2.52%

อย่างไรก็ดี หุ้นเทสลา พุ่งขึ้น 3.23% ปิดที่ระดับ 1,008.78 ดอลลาร์ หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 1/2565 อยู่ที่ 3.22 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.26 ดอลลาร์
         

นางเคธี วูด ซีอีโอของบริษัท Ark Investment Management คาดการณ์ว่า ราคาหุ้นเทสลาจะพุ่งขึ้นมากกว่า 4 เท่า แตะที่ระดับ 4,600 ดอลลาร์ภายในปี 2569 เนื่องจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งของรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ และความเชื่อมั่นที่ว่าเทสลาจะมีฐานเงินทุนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
          
         

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 2,000 ราย สู่ระดับ 184,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว โดยตัวเลขดังกล่าวยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 215,000 ราย ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยต่อสัปดาห์ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ