ธ.ก.ส.ขับเคลื่อน 7 โครงการ เสริมความยั่งยืนสู่ภาคเกษตรกรรม

28 มี.ค. 2565 | 15:44 น.
อัปเดตล่าสุด :28 มี.ค. 2565 | 22:45 น.

ธ.ก.ส. ดัน 7 โครงการ สร้างการเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งเพิ่มพื้นที่การทำเกษตรอินทรีย์ บริหารจัดการน้ำ ลดการเผาวัสดุทางการเกษตรในพื้นที่การปลูกข้าวและอ้อย พร้อมสนับสนุนสินเชื่อสีเขียว วงเงิน 6,000 ล้านบาท

นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)เปิดเผยว่า  ธ.ก.ส. ตระหนักถึงปัญหาภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งภัยธรรมชาติ มลพิษทางอากาศและโรคอุบัติใหม่ ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และได้ดำเนินนโยบายตามยุทธศาสตร์ชาติ ในการสร้างการเติบโตควบคู่ไปกับการดูแลด้าน สิ่งแวดล้อม มาอย่างต่อเนื่อง

นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)

ปี 2564 (เมษายน 2564 - มีนาคม 2565) ธ.ก.ส.ได้วางเป้าหมายตัวชี้วัดที่ชัดเจนในการดำเนินโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย

  • 1.โครงการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืน โดยส่งเสริมกระบวนการพัฒนาร่วมกับเครือข่าย เติมองค์ความรู้ให้เกษตรกร หันมาพัฒนาการผลิตในรูปแบบเกษตรธรรมชาติ เพื่อสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางอาหารและการสร้างต้นแบบเกษตรกรรมในแต่ละภูมิภาค เพื่อเป็นศูนย์เรียนรู้และจุดประกายในด้านการทำเกษตรอินทรีย์ ลดใช้สารเคมี มาใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติในพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยสามารถเพิ่มพื้นที่ตามโครงการแล้วกว่า  67,000  ไร่ และเพิ่มต้นแบบการทำเกษตรกรรมยั่งยืนในแต่ละภูมิภาคจำนวน 9 แห่ง
  • 2.โครงการสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน โดยร่วมกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาลในการพัฒนาศักยภาพกลุ่มเกษตรกร/วิสาหกิจ ชุมชนที่เป็นผู้ใช้น้ำไปสู่ชุมชนผู้ผลิต เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน โดยเติมองค์ความรู้เกี่ยวกับการใช้น้ำบาดาลและระบบกระจายน้ำบาดาล  เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ และการนำน้ำมาใช้ในกระบวนการผลิตทางการเกษตร โดยมีชุมชนที่เข้าร่วมโครงการแล้ว 843 แห่ง ทั่วประเทศ

 

  • 3.โครงการลดการเผาตอซังข้าวเพื่อลดฝุ่นละออง PM 2.5 เพื่อลดการเผาที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศและฝุ่นละออง PM 2.5 รวมถึงสนับสนุนให้เกิด Zero Waste หรือ ลดขยะจากฟางข้าว ขยายผลเพิ่มใน 8 จังหวัดภาคกลางและเตรียมขยายผลเพิ่มในภาคอื่นๆ มีเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเข้าร่วมโครงการคิดเป็นพื้นที่ทำนารวม  23,004 ไร่  สามารถสร้างรายได้เพิ่มจากการบริหารจัดการวัสดุเหลือใช้ เช่น  อัดฟางก้อนขาย 1 ไร่ ได้ประมาณ 40 ก้อน ๆ ละ 25 บาท มีรายได้ประมาณ 1,000 บาท/ไร่ การนำฟางข้าวมาทำเป็นกระถางต้นไม้ โดยฟางข้าว 2 กิโลกรัม ทำกระถางได้ 1 ใบ สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรต้นแบบเพิ่มขึ้น 30,000 บาทต่อปี  และยังมีรายได้เสริมจากการนำไปเพาะเห็ดฟาง
  • 4.โครงการลดการเผาอ้อย เพื่อลดฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี และราชบุรี  ซึ่งมีพื้นที่การผลิตรวม 1,598,133 ไร่ ลงอย่างน้อย 20% ของพื้นที่การผลิตทั้งหมด เพื่อช่วยลดฝุ่นและก๊าซเรือนกระจกจากการเผาใบอ้อยและนำไปสู่การปลูกอ้อยแบบปลอดสารและมีคุณภาพ โดยจัดทำ MOU ระหว่างธนาคารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงงาน ชุมชน และส่วนราชการในพื้นที่ 

 

พร้อมเปิดรับสมัครเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ การให้ความรู้ สร้างแรงจูงใจและให้สิทธิประโยชน์ เช่น การขายอ้อยที่ปลอดการเผาให้กับโรงงานได้ในราคาที่สูงขึ้น  การปรับไปเป็นสินเชื่อ Green Credit ที่มีอัตราดอกเบี้ยลดลงและเงื่อนไขที่ผ่อนปรน ซึ่งมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการคิดเป็นพื้นที่ปลูกอ้อยรวม 363,184 ไร่ หรือคิดเป็น 22.72% นอกจากนี้ใบอ้อยที่ถือเป็นเศษวัสดุเหลือใช้ ยังนำไปแปรรูป และขายเป็นเชื้อเพลิง สร้างรายได้หมุนเวียนให้กับเกษตรกร

 

  • 5. โครงการสินเชื่อผ่านแหล่งเงินทุนพันธบัตรเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) วงเงิน 6,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการระดมทุนจากภาคธุรกิจให้เข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุนภาคเกษตรกรรม ในการผลิตอาหารปลอดภัย (Food Safety) การส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์ การสนับสนุนการใช้พลังงานทางเลือกหรือพลังงานสะอาด รวมถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ  

 

โดยธ.ก.ส. นำเงินทุนดังกล่าวไปสนับสนุนให้เกษตรกรและชุมชน ผ่านโครงการสินเชื่อสีเขียว (Green Credit) โครงการสินเชื่อรักษ์ป่าไม้ไทยยั่งยืน ซึ่งมีเกษตรกรและชุมชนนำเงินไปสร้างผลผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไปแล้วกว่า 4,500  ล้านบาท สามารถสร้างแนวร่วมในการผลิตอาหารปลอดภัยไปแล้วกว่า 1,000 ตัน และเพิ่มปริมาณต้นไม้ในประเทศอีกกว่า 200,000 ต้น

 

  • 6.โครงการเพิ่มประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ (Eco-Efficiency) เพื่อลดการใช้ทรัพยากรที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารพลังงานและทรัพยากร ในส่วนของสาขาธนาคารทั่วประเทศ โดยจัดทำสาขาต้นแบบ ภาคละ 1 แห่ง รวม 9 แห่ง  เพื่อวางแนวทางในการบริหาร  การกำกับและติดตามการลดใช้พลังงาน เช่น ไฟฟ้า น้ำมัน วัสดุอุปกรณ์ที่ส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน ควบคู่กับการสร้างมูลค่าเพิ่มในการทำงาน โดยคำนวณเป็นค่าแฟคเตอร์ในการวัดผล เพื่อพัฒนาไปสู่มาตรฐานในการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

 

  • 7. โครงการลดผลกระทบจากกิจกรรมที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมขององค์กร เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและพัฒนาสภาวะแวดล้อมให้ดีขึ้น โดยนำอาคารสำนักงานใหญ่ ธ.ก.ส. มาเป็นต้นแบบในด้านการประหยัดพลังงานและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ การลดปริมาณขยะ การนำน้ำเสียมาปรับคุณภาพเพื่อใช้รดต้นไม้ โครงการติดตั้ง Solar Roof Car park โครงการกังหันน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ โครงการติดตั้งเครื่องควบคุมความเร็วรอบมอเตอร์ (VSD) และโครงการ ปรับ ลด ปลด เปลี่ยน เพื่อลดพลังงาน รวมถึงการรณรงค์ให้พนักงานเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อม

 

นายธนารัตน์กล่าวอีกว่า ในปีบัญชี 2565 (เมษายน 2565 - มีนาคม 2566) ธ.ก.ส. ยังคงเดินหน้าในด้านการพัฒนาและรักษาสิ่งแวดล้อมต่อเนื่อง  ไม่ว่าจะเป็นโครงการปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียว เพื่อลดการเกิดก๊าซเรือนกระจก และโครงการยกระดับธนาคารต้นไม้สู่ชุมชุนไม้มีค่า โดยมีเป้าหมายปลูกต้นไม้สะสมรวม 250,000 ต้น โครงการสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน เป้าหมายสะสมเพิ่มเป็น 1,000 แห่งทั่วประเทศ

 

การลดการเผาวัสดุการเกษตรในพื้นที่เพาะปลูกข้าวและอ้อยเพื่อลดฝุ่นละออง PM 2.5 โดยเพิ่มเป้าหมายลดพื้นที่การเผาเพิ่มอีก 363,000 ไร่  โครงการลดผลกระทบจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร โดยมีเป้าหมายลดลงเฉลี่ย 5% และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพเชิงเศรษฐกิจ (Eco-Efficiency) ที่จะยกระดับการเพิ่มค่าแฟกเตอร์ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

 

“ธ.ก.ส. มุ่งมั่นในการพัฒนาและรักษาสิ่งแวดล้อม โดยสร้างการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อให้ภาคเกษตรกรรมเติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงการสนับสนุนเงินทุนแก่เกษตรกรเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและยกระดับคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อม”นายธนารัตน์กล่าว