ยานยนต์ไฟฟ้าแห่งอนาคต (Electric Vehicles :EV )

25 ก.พ. 2565 | 16:37 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ก.พ. 2565 | 23:37 น.
796

ยานยนต์ไฟฟ้าแห่งอนาคต (Electric Vehicles): คอลัมน์มันนี่ ดี ไอวาย โดยณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด

หลายประเทศได้ให้คำมั่นและตั้งเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases : GHGs) ให้เป็น net-zero target โดยก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมารวมแล้วกว่า 50% มาจากการใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน การขนส่ง และการผลิตในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนี้สามารถลดหรือกำจัดไปได้ถ้าใช้พลังงานสะอาด เพื่อลดภาวะโรคร้อน 

 

จำนวนกว่า 83 ประเทศ หรือคิดเป็น 74.2% ของการปล่อย GHGs ทั่วโลก ได้ประกาศเป้าหมายในการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) เห็นได้จากนโยบายหลายประเทศที่ได้ออกมาตรการส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานทดแทนในหลากหลายด้าน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การสนับสนุนให้คนเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles : EV) แทนยานยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงจาก Fossil แบบเดิม โดยในหลายประเทศ เช่น นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ และอื่น ๆ อีกหลายประเทศ ได้ประกาศการ Phase out หรือหยุดจากการใช้รถยนต์ที่ใช้น้ำมันมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป

 

รถยนต์ไฟฟ้ามีการพัฒนาต่อเนื่องมาโดยตลอด ซึ่งหากพูดถึงรถยนต์ไฟฟ้าจะหมายถึงรถยนต์ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าตั้งแต่หนึ่งตัวขึ้นไปในการขับเคลื่อน รวมไปถึง

 

  1. Hybrid Vehicles (HV) เป็นรถ EV รุ่นแรก ๆ ที่ใช้เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนร่วมกัน
  2. Plug-In Hybrid Electric Vehicles (PHEV) รถยนต์ที่อัดประจุไฟฟ้าจากภายนอกมาเก็บในแบตเตอรี่ วิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ไกลมากขึ้น
  3. Battery Electric Vehicles (BEV) ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวและไม่มีเครื่องยนต์
  4. Fuel Cell Electric Vehicles (FCEV) ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อน โดยใช้พลังงานที่ผลิตจากเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) จากการเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจน ไม่มีการปล่อย CO2 มีเพียงการปล่อยน้ำเท่านั้น

 

ซึ่งเหล่านี้โดยเราจะเรียกรวมกันว่า รถยนต์ไฟฟ้า หรือที่คุ้นหูกับคำว่า EV

สำหรับปัจจุบัน ประเทศที่เป็นผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดโลก ได้แก่ จีน สหรัฐฯ และยุโรป โดย Bloomberg คาดการณ์ว่า ในปี 2040 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 55% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ทั้งหมด และมากกว่า 33% ของจำนวนรถยนต์ที่ใช้บนถนนทั่วโลกคือรถยนต์ไฟฟ้า

 

ขณะที่ประเทศไทยหากพิจารณาตัวเลขการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ ในปี 2017 และ 2021 พบว่ามีจำนวนประมาณ 12,000 คัน และ 38,000 คัน ตามลำดับ โดยจากตัวเลขนี้มีอัตราการเติบโตประมาณ 216% และหากพิจารณาในช่วงระยะเวลาดังกล่าวเป็นรายปี พบว่าเป็นการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี

 

ในส่วนของผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ 18 ราย จาก 20 ราย เช่น BMW group, Toyota, Ford มุ่งมั่นที่จะเพิ่มการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อรองรับปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทเอกชนที่ต้องการดำเนินธุรกิจแบบ zero-emission เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ได้มีการส่งสัญญาณว่าจะปรับระบบการขนส่งสินค้าของบริษัทมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทน อาทิเช่น  Amazon, DHL Group, FedEx, Ingka Group (IKEA) และ Walmart

 

นอกเหนือจากรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องทั้งหมด เช่น  แบตเตอรี่ เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน สินแร่ที่ใช้ผลิต และ Internet of Vehicles (IoV) มีโอกาสที่จะเติบโตควบคู่กันไปด้วย โดยจากปี 2015 ถึง 2030  นักวิเคราะห์เชื่อว่าความต้องการแบตเตอรี่ลิเธียมทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 1,829% รวมไปถึงรายได้จากแร่ต่าง ๆ เช่น ลิเธียม ทองแดง ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ก็คาดว่าจะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

 

สำหรับ Internet of Vehicles (IoV) ที่ใช้เชื่อมโยงระหว่างรถยนต์ด้วยกัน และโครงสร้างพื้นฐานภายนอก เช่น Sensors, Software และเทคโนโลยีอื่นๆ โดยรถยนต์ใหม่ที่จำหน่ายในจีน ยุโรป และสหรัฐฯ พบว่า ภายในปี 2022 จะเป็น Connected Car เกือบทั้งหมด ซึ่งรถเหล่านี้จะสามารถเชื่อมต่อและสื่อสารระหว่างกันผ่านอินเทอร์เน็ต

 

ทั้งนี้ บริษัทต่าง ๆ เช่น NXP Semiconductor และ Aptiv ที่ให้บริการโซลูชั่นการเชื่อมต่อของรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมีปัญญาประดิษฐ์ (AI) การเชื่อมต่อระหว่างยานพาหนะ (V2V) และการเชื่อมต่อระหว่างยานพาหนะ to Everything (V2X) รวมไปถึงบริษัทที่ให้บริการด้านจัดการข้อมูลมีส่วนในเทรนด์นี้ด้วยเช่นกัน

 

จากภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องตามกล่าวไปข้างต้นนี้ จึงนับว่าเป็นหนึ่งในโอกาสการลงทุนใน Electric Vehicles ที่คาดว่าจะเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจโลกในระยะยาวมากกว่า 10 ปีข้างหน้า