"CKPower" ทุ่ม 2.6 พันล.มุ่งผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนใหญ่สุดในภูมิภาค

22 ก.พ. 2565 | 10:02 น.
อัปเดตล่าสุด :22 ก.พ. 2565 | 17:02 น.

CKPower ทุ่ม 2.6 พันล.มุ่งผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนใหญ่สุดในภูมิภาค และมีระดับคาร์บอน ฟุตพริ้นท์ ต่ำที่สุดรายหนึ่ง พร้อมสร้างสถิติใหม่ผลประกอบการปี 2564 สูงสุดเป็นประวัติการณ์

นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPower (ชื่อย่อหลักทรัพย์: CKP) เปิดเผยว่า ในปี 2565

 

CKPower วางแผนลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ทั้งในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยตั้งงบลงทุนจำนวน 2,600 ล้านบาท เพื่อเพิ่มทุนตามสัดส่วนในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำแห่งใหม่ใน สปป.ลาว 

 

และลงทุนเพิ่มเติมในโครงการอื่น ๆ ซึ่งกำลังการผลิตติดตั้งใหม่ทั้งหมดที่บริษัทลงทุนจะมาจากพลังงานหมุนเวียน ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ และพลังงานลม

 

เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายกำลังการผลิตติดตั้งของบริษัทที่ 4,800 เมกะวัตต์ ภายในปี 2567 และเพิ่มสัดส่วนกำลังการผลิตจากพลังงานหมุนเวียนให้ไม่ต่ำกว่า 95% ของกำลังการผลิตรวมของบริษัท 

ทั้งนี้ ในปี 64 CKPower สามารถทำรายได้รวมและสร้างกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีรายได้รวม 9,334.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 63 จำนวน 2,157.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 30.1% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,179.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 จำนวน 1,774.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 438.4%
 

 

สำหรับปัจจัยหลักที่ทำให้รายได้ในปี 64 เพิ่มขึ้นมาจากรายได้จากการขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำงึม 2 และ โรงไฟฟ้าบางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น ที่เพิ่มขึ้น 98.9% และ 5.4% 

 

นอกจากนี้ ยังมีรายได้ค่าบริหารโครงการที่เพิ่มขึ้น 74.1% สาเหตุหลักมาจากการเริ่มรับรู้รายได้ค่าบริหารโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำแห่งใหม่ ใน สปป.ลาว ตั้งแต่ในไตรมาสที่ 4/2563
 

ส่วนกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นในปี 2564 มีสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของรายได้จากการขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำงึม 2 และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่ส่วนใหญ่มาจากกำไรสุทธิของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี ที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากมีปริมาณน้ำไหลผ่านเฉลี่ยในปี 64 เพิ่มขึ้นจากปี 63 ถึง 20.0% 

 

อย่างไรก็ดี ค่าใช้จ่ายทางการเงินของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี ในปี 64 ก็ลดลงจากการทยอยชำระคืนเงินต้นและอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปี 63 และนอกจากนี้ CKPower ยังเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี จาก 37.5% เป็น 42.5% ทำให้การรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้นอีกด้วย

 

CKPower ทำรายได้รวมและสร้างกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์
 

 

นายธนวัฒน์ กล่าวอีกว่า ผลการดำเนินงานของ CKPower ในปี 64 ถือเป็นสถิติใหม่ทั้งในด้านรายได้รวมและกำไรสุทธิ โดยปริมาณการผลิตไฟฟ้าที่เติบโตขึ้นของโรงไฟฟ้าทุกแห่ง

 

และการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผลการดำเนินงานในปี 2564 เติบโตขึ้นได้ดีกว่าที่บริษัทคาดการณ์ไว้ พิสูจน์ให้เห็นว่าแนวทางการบริหารงานของบริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 

 

นอกจากการสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนแล้ว CKPower ยังมุ่งมั่นที่จะเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค และมีระดับคาร์บอน ฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) ต่ำที่สุดรายหนึ่ง

 

เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยที่ต้องการมุ่งสู่สังคมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emissions) ภายในปี พ.ศ. 2608
 

นายธนวัฒน์ กล่าวต่อไปอีกว่า ในปี 65 CKPower มีแผนขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืนในมิติสังคมและสิ่งแวดล้อมทั้งในประเทศไทย และ สปป.ลาว ด้วยหลักการร่วมคิด ร่วมลงมือทำ ร่วมพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนและสังคม ผ่านกิจกรรมเพื่อสังคมที่สร้างการมีส่วนร่วมของพนักงานกับชุมชน 

 

โดยมีกิจกรรมในประเทศไทย เช่น การวางแผนพัฒนาพื้นที่วัดนาห้วย อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ด้วยการปรับปรุงระบบระบายน้ำ วางแผนติดตั้งโซล่าเซลล์บนหลังคา เพื่อส่งต่อแนวทางการพัฒนาด้วยรูปแบบความพอเพียงและยั่งยืน

 

ส่วนกิจกรรมเพื่อสังคมใน สปป.ลาว ได้แก่ โครงการพัฒนาโรงเรียนอนุบาลหินหัวเสือ แขวงไซสมบูน สปป.ลาว เพื่อพัฒนาการศึกษาโดยรอบพื้นที่โรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำงึม 2 ด้วยการสร้างและปรับปรุงอาคารเรียน ระบบไฟฟ้า ห้องน้ำ สนามเด็กเล่น 

 

และพื้นที่ต่าง ๆ ในโรงเรียน พร้อมการสนับสนุนการเข้าถึงน้ำดื่มที่สะอาดด้วยการติดเครื่องกรองน้ำจากพลังแสงอาทิตย์ และโครงการผลิตปุ๋ยจากขยะมูลฝอยที่โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี โดยนำขยะประเภทเศษอาหาร มาทำเป็นปุ๋ยหมักสำหรับทดลองใช้เพาะปลูกพืช และจะนำไปถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่ชุมชนโดยรอบโรงไฟฟ้าต่อไป