บลจ.ไทยพาณิชย์ชี้ เศรษฐกิจโลกฟื้น หนุนลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

29 ก.ย. 2564 | 19:13 น.
อัปเดตล่าสุด :30 ก.ย. 2564 | 02:13 น.

บลจ.ไทยพาณิชย์ แนะกระจายพอร์ตด้วยกองอสังหาฯ-รีทส์–อินฟราฯ เพิ่มโอกาสผลตอบแทนเมื่อโลกเริ่มฟื้นตัว ชูกองทุน SCBPIN เน้นลงทุนสินทรัพย์ทางเลือกเกี่ยวกับอสังหาฯ โครงสร้างพื้นฐานในไทยและต่างประเทศ

นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัดเปิดเผยว่า การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกยังคงมีการขยายตัวได้ดีและน่าสนใจจากภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลก ประกอบกับสถานการณ์การเงินของโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกมีความแข็งแกร่งมาก เพราะมีระดับหนี้สินค่อนข้างต่ำ รวมถึงภาวะดอกเบี้ยมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำไปอีกระยะหนึ่ง  ส่งผลให้สินทรัพย์กลุ่มนี้มีความน่าสนใจในการลงทุน ด้วยอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยระยะยาว

นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ. ไทยพาณิชย์ จำกัด

 

บริษัทฯได้แนะนำกองทุนที่เป็นทางเลือกการลงทุนสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรายได้ระหว่างทางจากการลงทุน รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากสัญญาค่าเช่าจะปรับตัวตามอัตราเงินเฟ้อ รวมถึงนักลงทุนเพื่อต้องการสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งนักลงทุนสามารถซื้อได้ในทุกช่องทางรวมถึงผู้สนับสนุนการขายทุกราย

กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ อินฟราสตรัคเจอร์ เฟล็กซิเบิ้ล (SCB Property and Infrastructure Flexible Fund : SCBPIN) เน้นลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และโครงสร้างพื้นฐานในไทยและต่างประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีความได้เปรียบด้านกระแสเงินสดรับคาดการณ์ที่สม่ำเสมอจากรายได้ค่าเช่าตามสัญญา เช่น อาคารสำนักงาน, ห้างสรรพสินค้า และ คลังสินค้า

 

ปัจจุบันมีสัดส่วนการลงทุนในตลาดไทยประมาณ 35% สิงคโปร์ประมาณ 60% และเงินฝากหรือสินทรัพย์อื่นอีกประมาณ 5% (ข้อมูล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2564) โดยกระจายความเสี่ยงในหลากหลายสินทรัพย์เนื่องจากมีความสัมพันธ์ต่ำกับสินทรัพย์การลงทุนอื่น อีกทั้งยังสามารถเป็นทางเลือกการลงทุนสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรายได้ระหว่างทางจากการลงทุน รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้ออีกด้วย

สำหรับการลงทุนเบื้องต้นจะเน้นการลงทุนในสิงคโปร์มากกว่าไทย จากการเปิดประเทศที่มีแนวโน้มเร็วกว่า และจากการฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมเกินกว่า 70% ของประชากร ประกอบกับสินทรัพย์ของ REIT สิงคโปร์มีคุณภาพค่อนข้างสูงในหลายด้านทั้งการกระจายความเสี่ยง สภาพคล่อง การซื้อสินทรัพย์ใหม่ และอัตราการเติบโต โดยกองทุนจะเน้นคัดเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีผลการดำเนินงานแข็งแกร่ง และได้รับผลกระทบน้อยจากความผันผวนของเศรษฐกิจ

 

“สภาวะเศรษฐกิจมหภาคทั่วโลกยังคงเอื้อต่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก ถึงแม้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกอาจจะชะลอตัวลงในกลุ่มประเทศที่มีการกระจายวัคซีนได้ดีอย่างสหรัฐฯ หรือจีน แต่ก็ยังคงขยายตัวได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนการระบาดของ COVID-19”

 

 นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกยังมีสัดส่วนของ REIT ในกลุ่ม New Economy เช่น Cell Tower, Data Center, Logistic สูงกว่า 50% ทำให้มีอัตราการเติบโตของกำไรในระดับค่อนข้างสูง ส่งผลให้ยังคงมีความน่าสนใจลงทุนทั้งในแง่การกระจายความเสี่ยง และการเติบโตในอนาคตสำหรับการลงทุนในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกคาดว่าอาจจะมีการปรับขึ้นไม่สูงมาก เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาถือว่าเป็นตลาดที่มีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และราคาปรับขึ้นมาแรงในช่วงก่อนหน้า

 

สำหรับการลงทุนในช่วงที่ผ่านมาใน REIT ไทยและสิงคโปร์ นับว่าได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อ COVID-19 กลายพันธ์เดลต้าค่อนข้างมาก ส่งผลให้ผลประกอบการยังคงถูกกดดันจากมาตรการล็อคดาวน์ อย่างไรก็ตาม การทยอยกลับมาเปิดประเทศในช่วงไตรมาส 4 ถึงปีหน้า จะสามารถสร้างโอกาสการลงทุนใน REIT ไทยและสิงคโปร์ได้ โดยคาดว่าผลตอบแทนจะสูงกว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกจากราคาที่ปรับขึ้นน้อยกว่าในช่วงที่ผ่านมา” นางนันท์มนัส กล่าว