ชาวไร่ยาสูบเตรียมยกทัพบุกคลังยืนหนังสือทบทวนปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่

21 ก.ย. 2564 | 20:10 น.
อัปเดตล่าสุด :22 ก.ย. 2564 | 03:10 น.
614

ชาวไร่ยาสูบเตรียมยกทัพบุกกระทรวงการคลังคลังยืนหนังสือขอพิจารณาปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่รอบใหม่ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจยาสูบแนะ รมว.คลังไม่ควรอ่อนไหวไปกับกระแสกดกันของกลุ่มเอ็นจีโอ

นที่ 1 ตุลาคมที่จะถึงนี้ กระทรวงการคลังมีกำหนดจะเริ่มใช้โครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่ใหม่แทนโครงสร้างปัจจุบันที่ใช้มาตั้งแต่ 16 กันยายน 2560 และมีกระแสข่าวว่าเครือข่ายรณรงค์ต่อต้านยาสูบกำลังกดดันกระทรวงการคลังอย่างหนักให้ขึ้นภาษีบุหรี่ในอัตราสูง เพื่อลดการสูบบุหรี่และเพิ่มรายได้ภาษีให้รัฐ โดยปฏิเสธว่าการขึ้นภาษีเป็นตัวทำให้เกิดปัญหาบุหรี่เถื่อน
นายสุเทพ ทิมศิลป์ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจยาสูบ กล่าวให้ความเห็นว่ารัฐมีบทเรียนจากการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่รอบที่แล้วเมื่อปี 2560 ซึ่งทำให้บุหรี่ยี่ห้อหลักๆ ของการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) ต้องขึ้นราคา 10-30 บาทต่อซอง หรือราว 20%-50% เพราะภาระภาษีเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในชั่วข้ามคืน จึงเกิดปัญหาบุหรี่เถื่อนทะลักเข้ามามากขึ้นถึง 29% โดยส่งผลให้กำไรของ ยสท. ลดลงไป 94% จาก 9.3 พันล้านบาทเมื่อปี 2560 เหลือเพียง 550 ล้านบาทในปี 2563 ทำให้ ยสท. เองก็ไม่มีกำลังและความต้องการซื้อใบยาสูบมากเหมือนเมื่อก่อน
“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไม่ควรอ่อนไหวไปกับกระแสกดกันของกลุ่มเอ็นจีโอถ้าคิดกันเพียงว่าการขึ้นภาษีสูงๆ จะช่วยดูแลสูขภาพคนไทยและเพิ่มรายได้ภาษีให้รัฐ แต่ไม่ได้ประเมินสภาพความเป็นจริงในประเทศรอบด้านอย่างแท้จริง  โดยเป็นไปได้สูงว่าจะเกิดปัญหาซ้ำรอยปี 60 ที่ทำให้บุหรี่ถูกกฎหมายต้องขึ้นราคาอย่างก้าวกระโดดจนบุหรี่เถื่อนเกลื่อนเมือง ซึ่งจะหวังการปราบปรามก็ทำได้ไม่ทั่วถึงและเป็นปัญหากับอาชญากรรมอื่นๆ ด้วย ไม่ใช่เฉพาะเรื่องบุหรี่เถื่อน  โดยเป็นเหตุผลว่าทำไมตอนนี้บุหรี่เถื่อนถึงทะลักเข้ามามากตอนนี้ไม่ใช่แค่กำไรของ ยสท. และรายได้ของชาวไร่ยาสูบเท่านั้นที่ลดลง แต่รายได้ภาษีสรรพสามิตยาสูบของรัฐบาลที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ก็ลดลงทุกปีเช่นกัน”

ทั้งนี้ เกษตรกรและเครือข่ายผู้ค้าบุหรี่ที่ขายบุหรี่ถูกกฎหมายอีกเกือบ 500,000 คนทั้งต้นน้ำ-กลางน้ำและปลายน้ำได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตลอดระยะเวลาเกือบ 82 ปี ที่ตั้งโรงงานยาสูบ จนมาถึงการเป็น ยสท. และทำให้เกษตรกรซึ่งปลูกยาสูบนั้นได้รับผลกระทบจนต้องออกมาประท้วงกันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน และที่สำคัญก็คือผู้สูบบุหรี่ก็ไม่ได้ลดน้อยลงตามวัตถุประสงค์ที่เครือข่ายต่อต้านได้ตั้งความหวังไว้ ผลกำไรสุทธิ 88% ที่ยสท. ต้องนำส่งเข้าคลัง ก็ไม่ได้มีการนำส่งมาตั้งแต่ปี 2560 เท่ากับเม็ดเงินในการบริหารประเทศหายไปถึง 34,000 ล้านบาท ภาษีก็เก็บได้น้อยลง แต่บุหรี่เถื่อนได้ประโยชน์มากขึ้น

สุเทพ ทิมศิลป์ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจยาสูบ
สำหรับการปรับโครงสร้างภาษีครั้งใหม่ที่จะใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไปนั้น ต้องการเสนอให้ฝ่ายนโยบายและพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ดำเนินการให้ภาระภาษีใหม่นี้อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ เพราะหากบุหรี่ถูกกฎหมายต้องขึ้นราคาอีก 6-8 บาทตามข่าวก็ถือว่ามากแล้ว 
นายสงกรานต์ ภักดีจิตร นายกสมาคมชาวไร่ยาสูบเบอร์เลย์จังหวัดเพชรบูรณ์ หนึ่งในแกนนำภาคีชาวไร่ยาสูบแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตั้งแต่ที่ชาวไร่ยาสูบถูก ยสท. ตัดโควตารับซื้อในปี 2561 มาต่อเนื่อง 4 ปี หลังจากการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่เมื่อปี 2560 นั้น ที่ผ่านมาชาวไร่ได้เงินชดเชยเพียงปีเดียวคือของปี 2561

“ตอนนี้พี่น้องชาวไร่ยาสูบกว่า 30,000 ครอบครัวในจังหวัดภาคเหนือ อีสานและภาคกลาง ต่างฝากความหวังไว้ที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังว่าจะไม่ปล่อยให้โครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ซ้ำเติมปัญหาปากท้องซึ่งลำบากมากอยู่แล้วตอนนี้ หากบุหรี่ต้องขึ้นราคาไปถึง 8 บาทต่อซอง ไปขายที่ราคา 68 บาท ตามที่เป็นข่าวจริง ๆ พวกเราคงต้องโดนการยาสูบฯ ลดโควตารับซื้อใบยาสูบลงอีกแน่ ๆอีกวันสองวันนี้เราจะเดินทางไปยื่นหนังสือที่กระทรวงการคลังเพื่อให้พิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ”
ขณะที่เรื่องเงินชดเชยที่เรียกร้องมาต่อเนื่องทุกปีแต่ก็ยังไร้วี่แวว ต้องการฝากไปถึง รมว. คลังและนายกรัฐมนตรีว่า ในสถานการณ์เศรษฐกิจที่อ่อนแอแบบนี้หวังว่าจะได้รับการพิจารณา อย่าคิดแต่จะขึ้นภาษีมากซึ่งเป็นการซ้ำเติมชาวไร่ตามที่นักวิชาการเรียกร้อง ขอให้ฟังเกษตรกรรากหญ้าบ้างไม่ใช่ฟังแต่หมอหรือนักวิชาการที่เอาแต่เป้าหมายสุขภาพโดยไม่สนใจความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวไร่ยาสูบ