นายวสันต์ จีนหลง นายกสมาคมผู้ผลิตนมพาสเจอร์ไรส์ เปิดเผยว่า กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมภาคเอกชนมีความคิดเห็นตรงกันว่า ขอให้รัฐบาลทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2568 ที่มีการทบทวนและเห็นชอบเรื่องระบบการบริหารจัดการนมโรงเรียน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอก่อนหน้านี้
โดยในประเด็นโครงสร้างระบบบริหารโครงการนมโรงเรียน ที่มีการแบ่งกลุ่มพื้นที่จาก 5 เขต พื้นที่เป็น 7 เขตพื้นที่ และการเพิ่มวัตถุประสงค์ของโครงการนมโรงเรียน จำนวน 4 ข้อ
ซึ่งอ้างว่าเพื่อให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมมีความยั่งยืนในอาชีพ และสหกรณ์โคนม รัฐวิสาหกิจ และสถาบันการศึกษา มีตลาดนมโรงเรียนรองรับนั้น เป็นการแบ่งแยกและเลือกปฏิบัติต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในประเทศ โดยเป็นการกระทำที่ไม่เห็นความสำคัญของกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมภาคเอกชนที่ประกอบอาชีพโดยสุจริต
ไม่เคยร้องขอดอกเบี้ยต่ำจากรัฐ ไม่เคยร้องขอเงินสนับสนุนให้เปล่า และไม่เคยเลี่ยงภาษี แต่กลับถูกละเลย และเลือกปฏิบัติสองมาตรฐานจากภาครัฐมาโดยตลอด
ทั้งนี้ จึงเป็นที่มาของการรวมตัวของตัวแทนสมาคมกลุ่มเกษตรกรผู้รวบรวมน้ำนมดิบ สมาคมผู้ผลิตนมพาสเจอร์ไรส์ สมาคม SME ผู้รวบรวมน้ำนมดิบและแปรรูป และเกษตรกรกว่า 200 คน มาที่ทำเนียบรัฐบาลเช้า เพื่อยื่นแถลงการณ์ถึงนายกรัฐมนตรี
สำหรับการยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีดังกล่าว เพื่อขอความช่วยเหลือในการทบทวนยกเลิกมติ หรือดำเนินการแก้ไขความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมภาคเอกชน
และผู้ประกอบการโครงการอาหารเสริมนมโรงเรียนภาคเอกชน เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพได้ต่อไป และสามารถเข้าถึงงบประมาณของรัฐที่มีวัตถุประสงค์หลัก ในการช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมทั้งประเทศ เด็กนักเรียนได้ดื่มนมที่มีคุณภาพผู้ประกอบการสามารถเข้าร่วมโครงการได้อย่างเป็นธรรม
อย่างไรก็ตามนายกรัฐมนตรีติดภารกิจจึงมอบหมายให้ นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นผู้มารับเรื่องแทน โดยขอให้นายกรัฐมนตรีโปรดดำเนินการแก้ไขโดยด่วน และเพื่อให้การบริหารโครงการอาหารเสริมนมโรงเรียนมีประสิทธิภาพและให้เด็กนักเรียนได้ดื่มนมทันเปิดภาคเรียนปีการศึกษา 2568 นี้
“ขอให้นายกฯสั่งการให้ใช้ประกาศคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ประจำปีการศึกษา 2566 เพื่อให้เด็กนักเรียน เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมทั้ประเทศ และผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ได้รับความเป็นธรรม ตามวัตถุประสงค์หลักของโครงการอย่างแท้จริง”
นอกจากนี้ ยังได้ยื่นหนังสือที่กระทรวงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเรียกร้องต้องการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับทราบถึงผลกระทบของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ที่ผ่านมา ที่มีต่อกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมกว่า 7,000 ครัวเรือน และเรียกร้องให้มีทบทวนมติดังกล่าว พร้อมถอดบทเรียนจากการบริหารจัดการนมโรงเรียนในปี 2567 ซึ่งมีเกษตรกรได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง
อีกทั้งยังเรียกร้องให้มีการทำประชาพิจารณ์โครงการอาหารเสริมนมโรงเรียนปี 2568 โดยขอให้ภาครัฐเปิดเผยผลการประชาพิจารณ์ต่อสาธารณชน และนำผลการประชาพิจารณ์มาใช้ในการพิจารณาดำเนินการ
“หลังจากที่รับทราบถึงมติคณะรัฐมนตรีที่มีการทบทวนโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้เลี้ยงโคนมโดยเฉพาะกลุ่มที่ขายน้ำนมดิบให้กับเกษตรกรภาคเอกชน วันนี้มติคณะรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับภาคสหกรณ์ รัฐวิสาหกิจ และสถาบันการศึกษา ส่งผลให้เอกชนที่ผลิตนมได้ 49% ของทั้งประเทศ ได้รับความเดือดร้อน ผู้ประกอบการหลายรายเริ่มไม่ซื้อนม ทำให้เดือดร้อน เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมไม่ควรถูกแบ่งแยก เราไม่อยากเป็นเกษตรกรที่เลี้ยงโคนมชนชั้นสองของประเทศไทย”