"เถ้าแก่ซีพี" ปั้นผู้นำรุ่นใหม่จากศูนย์ สู่ผู้บริหารธุรกิจระดับพันล้าน

10 มี.ค. 2568 | 17:39 น.
อัปเดตล่าสุด :10 มี.ค. 2568 | 17:54 น.

ซีพีเดินหน้าปั้นคนรุ่นใหม่ จากศูนย์สู่ผู้บริหารธุรกิจระดับพันล้าน ก่อนอายุ 30 เปิดตัว 5 ดาวรุ่ง ดันประสบความสำเร็จขยายธุรกิจทั้งในไทยและต่างประเทศ ดำเนินการแล้ว 17 รุ่น ผ่านอบรมแล้วกว่า 1 หมื่นคน ชี้เป็นอนาคตนำพาองค์กรสู่ศตวรรษที่สองอย่างมั่นคง

รายงานข่าวจาก เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี เผยว่า ได้เดินหน้าพัฒนาคนรุ่นใหม่สู่การเป็นผู้บริหารระดับสูง รองรับการเติบโตสู่ศตวรรษที่สองขององค์กร ผ่าน โครงการ “เถ้าแก่” โมเดลพัฒนาผู้นำที่มุ่งสร้างเจ้าของธุรกิจ ไม่ใช่เพียงพนักงานที่เก่ง ด้วยแนวคิด “เรื่องใหม่ต้องให้คนใหม่ทำ” เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้ลงมือบริหารธุรกิจจริง พร้อมรับผิดชอบกำไร-ขาดทุน โดยมีผู้บริหารระดับสูงเป็นพี่เลี้ยง

ปัจจุบันโครงการดำเนินมาแล้ว 17 รุ่น มีผู้ผ่านการอบรมกว่า 10,000 คน หลายคนก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารระดับสูงของเครือซีพีก่อนอายุ 30 ปี และสร้างรายได้เฉลี่ย 60 ล้านบาทต่อคน พร้อมเปิดตัว 5 ผู้นำรุ่นใหม่ ที่ประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจทั้งในไทยและต่างประเทศ ตอกย้ำศักยภาพของคนรุ่นใหม่ในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน

นางสาวพิมลรัตน์ รีพัฒนาวิจิตรกุล ประธานคณะผู้บริหารทรัพยากรบุคคล เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยว่า โครงการเถ้าแก่เกิดขึ้นจากดำริของ ประธานอาวุโส “ธนินท์ เจียรวนนท์” ที่เชื่อว่า “เรื่องใหม่ต้องให้คนใหม่ทำ” เพราะคนรุ่นใหม่มีศักยภาพในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ หากได้รับอิสระในการคิดและตัดสินใจ จะช่วยให้เกิดนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงเชิงธุรกิจ

“เครือซีพีจะอยู่ต่อไปได้อีก 100 ปี เราต้องเริ่มสร้างผู้นำรุ่นใหม่ตั้งแต่วันนี้ คนเหล่านี้ต้องคิดและทำงานเหมือนเป็นเจ้าของธุรกิจ ไม่ใช่แค่ผู้จัดการที่เก่ง แต่เป็นนักสร้างสรรค์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงธุรกิจให้เติบโตได้”

\"เถ้าแก่ซีพี\" ปั้นผู้นำรุ่นใหม่จากศูนย์ สู่ผู้บริหารธุรกิจระดับพันล้าน

ทั้งนี้โครงการเถ้าแก่ของซีพีแตกต่างจากหลักสูตรพัฒนาผู้นำทั่วไป เพราะเน้นการ เรียนรู้จากการลงมือทำจริง  และให้ผู้เข้าร่วม รับผิดชอบกำไร-ขาดทุน และมีอำนาจตัดสินใจทางธุรกิจ

สำหรับแนวคิดของโครงการเถ้าแก่ ประกอบด้วย 1.Freedom to Think, Freedom to Act – เปิดโอกาสให้เถ้าแก่คิดและตัดสินใจเอง 2.Real Impact & Responsibility – สร้างผลลัพธ์จริง พร้อมรับผิดชอบต่อองค์กร 3.ระบบสปอนเซอร์จากผู้บริหารระดับสูง – ให้คำแนะนำแบบไม่ชี้นำ และ 4.Leaders create Leaders – เป็นผู้นำที่สร้างผู้นำ

“คนรุ่นใหม่ต้องได้รับอิสระในการบริหารธุรกิจ เพราะการเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือการลงมือทำ เมื่อพวกเขาต้องบริหารเอง จะเข้าใจความท้าทายและรู้จักแก้ปัญหาแบบเจ้าของกิจการ” นางสาวพิมลรัตน์ กล่าว

นับตั้งแต่ปี 2017 โครงการเถ้าแก่ได้ดำเนินการมาแล้ว 17 รุ่น มีผู้ผ่านโครงการกว่า 10,000 คน และส่งผลให้เกิดเถ้าแก่ที่เติบโตเป็นผู้บริหารระดับสูงของเครือซีพี

\"เถ้าแก่ซีพี\" ปั้นผู้นำรุ่นใหม่จากศูนย์ สู่ผู้บริหารธุรกิจระดับพันล้าน

จากข้อมูลพบว่าเถ้าแก่ที่ประสบความสำเร็จ สามารถสร้างรายได้เฉลี่ย 60 ล้านบาทต่อคน นอกจากนี้หลายคนขึ้นสู่ตำแหน่ง ผู้บริหารระดับสูงก่อนอายุ 30 ปี และได้ดูแลธุรกิจสำคัญของเครือซีพีทั้งในไทยและต่างประเทศซึ่งทางซีพีมีระบบติดตามผลแบบรายวัน และวัดผลจากกำไร-ขาดทุนจริง ทำให้มั่นใจได้ว่าการให้คนรุ่นใหม่ดูแลธุรกิจระดับเครือฯ จะไม่กระทบต่อองค์กร

นายชัยรัตน์ นรรัชชตสกุล อายุ 28 ปี  ตัวอย่างผู้นำรุ่นใหม่จากโครงการเถ้าแก่คนแรก จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาภาษาจีนเพื่อเศรษฐกิจและการค้า มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ปัจจุบันเป็นผู้บริหารค้าปลีกและ E-commerce ในจีน โดยเติบโตจากผู้จัดการร้าน CP Fresh Mart สู่ New Business Development Director ของเครือซีพีในจีน  ประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจค้าปลีกของซีพีในกว่างโจว ประเทศจีน และพัฒนาแพลตฟอร์ม E-commerce และกลยุทธ์ดิจิทัล บริหารซัพพลายเชนระดับโลกเพื่อสนับสนุนตลาดนานาชาติ

"โครงการเถ้าแก่สอนให้ผมคิดและทำงานเหมือนเป็นเจ้าของธุรกิจจริงๆ ทุกการตัดสินใจของเรามีผลกระทบต่อองค์กร และเราต้องรับผิดชอบกับมัน" นายชัยรัตน์ กล่าว

\"เถ้าแก่ซีพี\" ปั้นผู้นำรุ่นใหม่จากศูนย์ สู่ผู้บริหารธุรกิจระดับพันล้าน

 

อีกหนึ่งตัวอย่างคือ นางสาวเกษสุรางค์ ดีจงกิจ อายุ 29 ปี  จบการศึกษาระดับปริญญาตรีคณะเศรษฐศาสตร์ (เกียรตินิยมอันดับ 1) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปัจจุบันบริหารธุรกิจฟาร์มสุกรระดับนานาชาติ โดยบริหาร Integrated Swine Project ในไทย เวียดนาม และจีน  รวมถึงเป็นหนึ่งในผู้บริหารธุรกิจอาหารแช่แข็งของเครือซีพีในสหรัฐอเมริกา อีกทั้งเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของการผลักดันการขยายธุรกิจแม็คโครในต่างประเทศ

"เครือซีพีให้โอกาสคนรุ่นใหม่ได้ลองทำจริง ได้รับผิดชอบโปรเจกต์ระดับพันล้านตั้งแต่อายุยังน้อย และนั่นคือโอกาสที่เปลี่ยนชีวิตของเรา" นางสาวเกษสุรางค์ กล่าว

ต่อมา คือ นางสาวชวัลญา ภักตรนิกร อายุ 29 ปีจบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาการเงินการธนาคารพาณิชยศาสตร์และบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันบริหารการเงินและจัดซื้อของเครือซีพี ดูแลโครงการจัดซื้อสุกรและบริหารการเงินของเครือซีพี บริหารงบประมาณและการเงินของธุรกิจจัดซื้อสุกร รวมถึงการพัฒนาทีมการเงินที่แข็งแกร่งให้เครือซีพี

"ถ้าอยากเติบโตเร็ว คุณต้องเป็นน้ำไม่เต็มแก้วเสมอ พร้อมเรียนรู้จากทุกคน และสร้างผลลัพธ์ให้เกิดขึ้นจริง" นางสาวชวัลญา กล่าว

นางสาวณัชชาชนก ณ ตะกั่วทุ่ง อายุ 30 ปี  จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปัจจุบันเป็นซีอีโอ CP Fresh ดูแลกลยุทธ์การขยายตัวของ CP Fresh   รวมถึงการสร้างทีมบริหารและพัฒนาเถ้าแก่รุ่นต่อไป

"เถ้าแก่ต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้าง คิดใหญ่ และพร้อมเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ" นางสาวณัชชาชนก กล่าว

เถ้าแก่คนสุดท้าย คือ นางสาวฑิตา ตั้งฤทัยวาณิชย์ อายุ 32 ปี  COO แห่งอินเดียและจีน จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะวิทยาศาสตร์เคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโท สาขา Marketing Management, University of Southampton, UK ปัจจุบันเป็น Chief Operating Officer (COO) ของ CP Group India & China รับผิดชอบการขยายฐานลูกค้าและธุรกิจของซีพีในอินเดียและจีนบริหารซัพพลายเชนระดับโลกสำหรับธุรกิจอาหารสัตว์

"โครงการเถ้าแก่ช่วยให้ดิฉันกล้าคิด กล้าทำ กล้าเติบโตอย่างรวดเร็ว รวมทั้งส่งต่อความสำเร็จในการสร้างทีมงาน สร้างผู้นำ" นางสาวฑิตา กล่าว

ประธานคณะผู้บริหารทรัพยากรบุคคล เครือเจริญโภคภัณฑ์  สรุปว่า "เถ้าแก่" ของซีพี คือ โมเดลพัฒนาผู้นำยุคใหม่ เรียนรู้จากการทำธุรกิจจริง บริหารกำไร-ขาดทุนด้วยตัวเอง  ได้รับโอกาสจากผู้บริหารระดับสูง  สร้างผลลัพธ์ที่ส่งผลต่อองค์กรจริง ทั้งนี้โครงการเถ้าแก่ของซีพีไม่ได้สร้างพนักงาน แต่เป็นหัวใจของการเตรียมองค์กรให้พร้อมสำหรับอนาคต ด้วยพลังของคนรุ่นใหม่ เครือซีพีจึงมั่นใจว่าจะสามารถขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่อง และสร้างนวัตกรรมที่นำพาองค์กรสู่ศตวรรษที่สองอย่างมั่นคง