ในเวทีเสวนาโต๊ะกลม กรุงเทพธุรกิจ Roundtable หัวข้อ "Entertainment Complex: Game Changer for Thailand" วันที่ 18 มีนาคม 2568 มีนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่านได้แสดงความกังวลและให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติสถานบันเทิงครบวงจร ที่จะมีการเปิดกาสิโนถูกกฎหมายเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และรัฐบาลควรรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนให้มากขึ้น ก่อนจะเดินหน้าผลักดันกฎหมายนี้
รศ.ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้แสดงความกังวลว่าประเทศไทยยังไม่มีความพร้อมในการเปิดคาสิโนถูกกฎหมาย โดยเน้นประเด็นสำคัญ 2 ด้าน
1. ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น ประเทศที่พร้อมเปิดกาสิโนจะต้องมีอัตราการทุจริตคอรัปชั่นในระดับต่ำ เพราะเป็น "รากแก้วของการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่ดี" เมื่อกลไกภาครัฐไม่สามารถกำกับดูแลการดำเนินงานธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเกิดปัญหาต่อเนื่องทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจ เช่น การฟอกเงิน อาชญากรรมเพิ่มขึ้น อาจารย์ยกตัวเลขล่าสุดจากองค์กรเพื่อความโปร่งใสระหว่างประเทศที่จัดให้ประเทศไทยอยู่ลำดับที่ 107 ในเรื่องการทุจริตคอรัปชั่น ต่ำกว่าอินโดนีเซียและเวียดนาม
3. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ผลการศึกษาว่าอาชญากรรมร้ายแรงที่เพิ่มขึ้นหนึ่งรายต่อประชากรหนึ่งแสนคนจะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง 1% และในกรณีฟิลิปปินส์ อาชญากรรมที่เพิ่มขึ้นจากการมีกาสิโนทำให้การลงทุนจากต่างประเทศลดลงมหาศาล
อาจารย์ยังได้เปรียบเทียบกับสิงคโปร์ว่า ตอนที่สิงคโปร์เริ่มต้นโครงการ ประเทศอยู่ในอันดับที่ 5 ด้านการทุจริตคอรัปชั่น (ในอันดับที่ดีที่สุดของโลก) ขณะที่ประเทศไทยเราอยู่ในระดับวิกฤต
นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับมาตรฐานของร่างกฎหมาย เช่น มาตรา 52 ที่กำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ซึ่งไม่มีการกำหนดขั้นต่่ำ มาตรา 15(3) ที่ให้อำนาจคณะกรรมการนโยบายในการเสนอลดอัตราภาษีต่อคณะรัฐมนตรี
อาจารย์ชิดตะวันยังตั้งข้อสังเกตในประเด็นความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของนโยบายนี้ โดยระบุว่าพรรคเพื่อไทยไม่ได้ชูนโยบายเปิดกาสิโนตอนหาเสียง และไม่มีการรายงานต่อ ป.ป.ช. ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2561
"ข้อเสนอแนะสำคัญคือควรจัดให้มีการทำประชามติในเรื่องนี้เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม"
ด้าน รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ นักวิชาการเศรษฐศาสตร์และผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน ได้แสดงความเห็นว่า แม้รัฐบาลอ้างว่าใช้โมเดลของสิงคโปร์ แต่ไม่ได้นำมาทั้งหมด โดยเฉพาะมาตรการป้องกันผลกระทบ ซึ่งสิงคโปร์ประสบความสำเร็จเพราะวางระบบการป้องกันผลกระทบที่ครบถ้วน
โดยสิงคโปร์มีการออกกฎหมายที่รัดกุม กำกับดูแลอย่างจริงจัง มีการจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะ สิงคโปร์ตั้ง "สภาแห่งชาติว่าด้วยปัญหาการพนัน" (National Council on Problem Gambling) เพื่อให้คำแนะนำและกำกับดูแลผลกระทบทางสังคมโดยเฉพาะ ซึ่งแยกต่างหากจากหน่วยงานที่กำกับดูแลกาสิโน และมีการบริหารจัดการผลกระทบ มีการให้การศึกษาต่อภาคประชาชน การสร้างภูมิคุ้มกัน และระบบการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
อาจารย์นวลน้อย เสนอแนะให้มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อดูแลผลกระทบจากการพนัน โดยหักส่วนแบ่งรายได้จากกาสิโนอย่างชัดเจน เช่น ในมาเก๊ามีการกำหนดให้สามสิบเปอร์เซ็นต์จากรายได้หลังหักเงินรางวัลและอีกห้าเปอร์เซ็นต์จากแหล่งอื่น เพื่อนำไปแก้ไขปัญหาผลกระทบและส่งเสริมการท่องเที่ยว
ส่วน นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน ชี้ประเด็นความไม่ชัดเจนในร่างกฎหมาย และแสดงความกังวลว่าจะเป็นช่องโหว่ให้เกิดปัญหาในอนาคต ทั้งกลุ่มเป้าหมายไม่ชัดเจน เพราะร่างกฎหมายไม่ระบุชัดเจนว่ากลุ่มเป้าหมายคือนักท่องเที่ยวหรือคนไทย เงื่อนไขการเข้าคาสิโนสำหรับคนไทยที่ต้องมีเงินฝาก 50 ล้านบาทยังไม่ชัดเจนว่าจะยังคงอยู่หรือไม่
กระบวนการร่างกฎหมายเร่งรีบ ซึ่งมีเสียงวิจารณ์ว่ารัฐบาลเร่งรีบผ่านกฎหมายโดยไม่รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนอย่างเพียงพอ
มีความหละหลวมของกฎหมาย โดยร่างกฎหมายเขียนแบบกว้างและเปิดช่องให้ตีความได้หลายทาง เช่น ไม่จำกัดวงเงินในการเล่น อนุญาตให้กาสิโนปล่อยเงินกู้ให้ผู้เล่นได้ ไม่มีการกำหนดขั้นต่ำของค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและภาษี รวมทั้งความไม่ชัดเจนในเรื่องการนำส่งรายได้เข้ารัฐ
ส่วนการมีส่วนร่วมของประชาชน ในฉบับร่างล่าสุดระบุเพียงให้ "รับฟังความเห็นของประชาชนในพื้นที่ประกอบ" การตัดสินใจ แต่ไม่ได้ให้น้ำหนักกับความเห็นของประชาชนมากพอ และผลประโยชน์ของท้องถิ่น ไม่มีความชัดเจนว่าคนในพื้นที่หรือท้องถิ่นจะได้ประโยชน์อย่างไร
ข้อเสนอของนาย ธนากรเสนอแนะให้รัฐบาล คือ ชะลอการเสนอกฎหมายและไปทำการบ้านให้ชัดเจนก่อน และจัดให้มีการทำประชามติในเรื่องนี้ และเสนอให้แก้ไขพระราชบัญญัติการพนันทั้งระบบแทนที่จะออกกฎหมายเฉพาะสำหรับกาสิโน และสร้างระบบกำกับดูแลที่เข้มแข็งและป้องกันผลกระทบทางสังคม
"ถ้ากฎหมายเกิดขึ้นในรูปแบบนี้ เชื่อว่าความวุ่นวายจะมาในแต่ละจังหวะ กำลังพยายามรวบรวมรายชื่อ 50,000 ชื่อเพื่อเสนอให้จัดทำประชามติในเรื่องนี้