“การท่าเรือแห่งประเทศไทย” หรือ กทท. 1 ในหน่วยงานรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงคมนาคมที่มุ่งเน้นการพัฒนาท่าเรือต่างๆให้มีประสิทธิภาพ หวังลดต้นทุนการขนส่งสินค้าทางน้ำ ตลอดจนการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์และส่งเสริมการเป็นท่าเรือสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ดูแลท่าเรือ 5 แห่ง
ปัจจุบัน “กทท.” รับผิดชอบการบริหารจัดการและควบคุมดูแลท่าเรือของประเทศ 5 แห่ง ตามมติของคณะรัฐมนตรี ปี 2554 ได้แก่ ท่าเรือหลักของประเทศ จำนวน 2 แห่ง ประกอบด้วย ท่าเรือกรุงเทพ หรือท่าเรือคลองเตย ท่าเรือแหลมฉบัง
ส่วนท่าเรือภูมิภาค จำนวน 3 แห่ง ประกอบด้วย ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน ท่าเรือเชียงของ และท่าเรือระนอง
ทั้งนี้มีสัดส่วนการขนส่งตู้สินค้าผ่านท่าเรือภายใต้ กทท. คิดเป็นร้อยละ 85.46 ของตู้สินค้าในประเทศไทยทั้งหมด อีกทั้งท่าเรือแหลมฉบังถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 16 (อ้างอิงจาก Lloyd’s List ปี 2566) ของท่าเรือที่มีปริมาณการขนส่งตู้สินค้ามากที่สุดในโลก
จับมือท่าเรือโยโกฮาม่า
ล่าสุด “กทท.” ได้ร่วมลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างการท่าเรือฯ และเมืองโยโกฮาม่า (Letter of Intent : LOI) ฉบับใหม่ และประชุมร่วมกับบริษัท Yokohama-Cargo-Center (YCC) เพื่อยกระดับความสัมพันธ์และความร่วมมือในด้านการพัฒนากิจการท่าเรือ โครงสร้างพื้นฐานและพื้นที่หลังท่า ส่งเสริมการตลาด เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมพร้อมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้ชุมชนของทั้งสองท่าเรือ
นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เปิดเผยว่า จากการเดินทางมาญี่ปุ่นในครั้งนี้เป็นความสัมพันธ์ระหว่างกทท.และท่าเรือโยโกฮาม่าครบรอบ 10 ปี
ทั้งนี้ในปี 2567 ทางท่าเรือโยโกฮาม่าได้เดินทางไปประชุมที่ประเทศไทย ซึ่งมีการกล่าวถึงการลงนามสัญญาโดยผ่านหนังสือแสดงเจตจำนงทุกๆ 5 ปี โดยให้ความสำคัญในการสนับสนุนการเป็นท่าเรือสีเขียว รวมถึงการส่งเสริมด้านเทคโนโลยีด้วย
“จากความสัมพันธ์ร่วมมือกับท่าเรือโยโกฮาม่า ในช่วงนี้ถือเป็นช่วงเวลาดีในเดือนเทศกาลปีใหม่และเทศกาลตรุษจีน จึงเหมาะแก่การลงนามสัญญาร่วมกันเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ถือเป็นประวัติศาสตร์ของท่าเรือกรุงเทพครบรอบ 73 ปีขณะที่ท่าเรือโยโกฮาม่าครบรอบ 146 ปี ถือว่าท่าเรือกรุงเทพเป็นครึ่งหนึ่งของชีวิตเขาเช่นกัน” นายเกรียงไกร กล่าว
เจาะโมเดล 1.8 หมื่นไร่
นอกจากนี้พบว่าท่าเรือโยโกฮาม่าให้ความสำคัญในการพัฒนาเมือง โดยประโยชน์ที่กทท.จะได้รับจากการลงนามสัญญากับท่าเรือโยโกฮาม่าในครั้งนี้ คือ การแลกเปลี่ยนทางวิชาการการแลกเปลี่ยนบุคลากร ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีเข้ามาบริหารในการทำงาน รวมถึงการพัฒนาพื้นที่ที่มีความสำคัญอย่างมาก
ปัจจุบันท่าเรือกรุงเทพมีพื้นที่ 2,353 ไร่ ซึ่งกทท.มีพื้นที่เล็กกว่า 8 เท่า เมื่อเทียบกับท่าเรือโยโกฮาม่า ที่มีพื้นที่ กว่า 18,000 ไร่
สำหรับจุดเด่นของท่าเรือโยโกฮาม่ามีการกั้นพื้นที่โซนต่างๆ เช่น พื้นที่อุตสาหกรรม พื้นที่ท่าเรือ พื้นที่ที่มีการลงทุนใหม่ โดยเป็นการขยายพื้นที่ด้วยการถมทะเลเพื่อเพิ่มพื้นที่ท่าเรือเกิดใหม่ ในการเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับปริมาณตู้สินค้าที่เพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกันท่าเรือโยโกฮาม่า ถือเป็นท่าเรือที่มีความสำคัญ เนื่องจากท่าเรือโยโกฮาม่าถือเป็นท่าเรืออันดับ 1 ด้านการท่องเที่ยวที่ทันสมัยที่สุด โดยมีปริมาณตู้สินค้าผ่านท่าเรือ จำนวน 3 ล้านตู้ ถือเป็นอันดับ 2 ของประเทศญี่ปุ่น หรืออันดับที่ 68 ของโลก รองจากท่าเรือโตเกียว (อันดับที่ 46 ของโลก)
ไม่เพียงเท่านั้นท่าเรือโยโกฮาม่า ได้พัฒนาเป็นท่าเรือท่องเที่ยวและศูนย์กระจายสินค้า ตลอดจนการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์หรือเรียกว่า MINATO MARAI โดยเป็นการขายที่ดินผ่านรัฐบาลญี่ปุ่นที่จัดสรรให้เอกชนลงทุนในการซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ถือเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและโลจิสติกส์
ขณะเดียวกันรวมถึงการพัฒนาท่าเรือเป็น Open innovation ทำให้ท่าเรือโยโกฮาม่ากลายเป็นศูนย์กลางอันดับ 3 ในการขนส่งทางน้ำที่เชื่อมต่อกับการขนส่งทางรถไฟของญี่ปุ่น
อัพเกรดท่าเรือคลองเตย
หากกทท.ต้องการพัฒนาพื้นที่ท่าเรือกรุงเทพฯหรือท่าเรือคลองเตย ให้เทียบเท่าท่าเรือโยโกฮาม่านั้น กทท.ต้องนำพื้นที่บางส่วนพัฒนาเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ ที่ผ่านมามีการออกแบบพื้นที่กว่า 70 ปี ซึ่งตามแผนฝั่งตะวันออกของท่าเรือกรุงเทพยังคงเป็นพื้นที่การพัฒนาท่าเรือ
ขณะที่ฝั่งตะวันตกจากเดิมเป็นคลังสินค้าจำนวนมาก โดยในอนาคตจะจัดพื้นที่ดังกล่าวใหม่เพื่อเพิ่มพื้นที่ที่เหลือในการพัฒนาเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ให้มีความเหมาะสมต่อการใช้งาน
“จากการศึกษาดูงานในครั้งนี้ ทำให้กทท.เล็งเห็นว่าการพัฒนาโลจิสติกส์ที่มีอยู่ในปัจจุบันโดยยกระดับการขนส่งสินค้า ตลอดจนการทำธุรกิจเกี่ยวเนื่องให้สอดคล้องกับการขนส่งทางน้ำจนเป็นที่มาของการแก้ไขพ.ร.บ.การท่าเรือฯ โดยการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์สามารถส่งเสริมเป็นเขตพิเศษด้านการท่องเที่ยวได้ เช่น การพัฒนาท่าเรือท่องเที่ยว (Cruise Terminal) สินค้าปลอดภาษี (Duty Fee) รวมถึงการพัฒนาเมือง Smat City ควบคู่กับนวัตกรรมการขนส่ง ฯลฯ คาดว่าจะใช้เวลาศึกษาเพื่อจัดทำแผนแม่บทพัฒนาท่าเรือกรุงเทพราว 6 เดือน” นายเกรียงไกร กล่าว
หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 4,066 วันที่ 30 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568