ลุยแก้หนี้สหกรณ์ 5 หมื่นล้าน ร้านค้า-สหกรณ์ประมง เสี่ยงปิดตัวสูง

16 มี.ค. 2568 | 14:00 น.

ในปี 2568 กรมส่งเสริมสหกรณ์ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาสหกรณ์ พร้อมเดินหน้าใช้นวัตกรรม ยกระดับศักยภาพสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรให้มีความเข้มแข็ง

ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นมากกว่าในปีที่ผ่านมา ทั้งปัจจัยภายในและนอกประเทศที่ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน เฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการขึ้นภาษีสินค้าจากต่างประเทศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐที่สร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก

 “ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “วิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์” อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ถึงแผนขับเคลื่อนปี 2568 เพื่อสู้กับวิกฤตเศรษฐกิจ โดยเฉพาะแผนการฟื้นฟูสหกรณ์ที่ขาดทุนสะสมให้มีกำไร การแก้ไขปัญหาหนี้ค้างชำระของสมาชิกการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ รวมถึงการพัฒนาบุคลากรของสหกรณ์และบุคลากรของกรมให้มีศักยภาพการทำงานที่สูงขึ้น เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ให้แก่สมาชิกสหกรณ์” ที่เป็นหนึ่งในเป้าหมายของรัฐบาล และของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์สมาชิกเบี้ยวหนี้ทำขาดทุน

 

ลุยแก้หนี้สหกรณ์ 5 หมื่นล้าน ร้านค้า-สหกรณ์ประมง เสี่ยงปิดตัวสูง

นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า ปัจจุบันสหกรณ์ทั่วประเทศมีสินทรัพย์ทั้งหมด 4 ล้านล้านบาท โดยเฉลี่ยเติบโตขึ้นปีละ 2 แสนล้านบาท มีสมาชิกรวม 12 ล้านคน หนึ่งในปัญหาที่หลายคนมีความเป็นห่วง คือการขาดทุนสาเหตุส่วนใหญ่มาจาก สหกรณ์เก็บหนี้จากสมาชิกไม่ได้ ซึ่งหนี้ที่เก็บไม่ได้ จะถูกตั้งในบัญชีเป็นหนี้สงสัยจะสูญ ซึ่งหนี้ดังกล่าวเป็นค่าใช้จ่ายของสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร และชุมนุมสหกรณ์ ปัจจุบันมีจำนวน 778 แห่ง มีมูลหนี้รวมกว่า 5 หมื่นล้านบาท

 

“ทางกรมไม่ได้นิ่งนอนใจกับหนี้ค้างชำระของสมาชิกสหกรณ์ และกลุ่มเกษตรกร ที่ผ่านมาได้พยายามแก้ปัญหามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2562 ล่าสุดได้มอบหมายให้ทีมงานเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหา เพื่อให้สหกรณ์มีรายได้เพิ่มจากทางอื่น จากปัจจุบันมีรายได้จำกัด โดยมีรายได้จากการขายผลผลิต และการจัดหาสินค้ามาจำหน่ายให้กับสมาชิก และจากดอกเบี้ยเงินกู้ เป็นต้น ควบคู่ไปกับกรมจะส่งทีมงานไปวิเคราะห์งบการเงิน เพื่อที่จะพิจารณาว่าตัวไหนที่จะปรับลดลงได้บ้าง โดยปี 2568 ตั้งเป้าอย่างน้อยหนี้ต้องลดลง 25% และฟื้นฟูสหกรณ์ที่ขาดทุนสะสมให้มีกำไรเพิ่มขึ้น 25% ซึ่ง 2 นโยบายนี้ ได้ถูกบรรจุอยู่ในนโยบายหลักในการขับเคลื่อน 7 แผนงานของกรมฯด้วย”

 

ลุยแก้หนี้สหกรณ์ 5 หมื่นล้าน ร้านค้า-สหกรณ์ประมง เสี่ยงปิดตัวสูง

 

ส่วนอีก 5 แผนงาน ได้แก่ 1. การส่งเสริมปริมาณธุรกิจสหกรณ์ให้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 3% ของธุรกิจสหกรณ์ 2. การพัฒนาความเข้มแข็งของสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร ให้มีความเข้มแข็งในระดับชั้น 1 และ ชั้น 2 เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 2 3. การพัฒนาบุคลากร จะต้องพัฒนาบุคลากรของสหกรณ์ และบุคลากรของกรมส่งเสริมสหกรณ์ให้มีความเข้มแข็ง เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนให้ดีขึ้น 4.การเตรียมความพร้อม และเริ่มดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างปี 2568 ให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรก ของปีนี้ เพื่อให้สามารถคาดการณ์ถึงปัญหาหรืออุปสรรคที่จะเกิดขึ้น และสามารถวางแผนรับมือได้อย่างเป็นระบบและรวดเร็ว และ 5. ตลาดนำการผลิต เป็นการผลักดันแนวคิด “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ให้แก่สมาชิกสหกรณ์”

“ร้านค้าสหกรณ์-ประมง” เสี่ยงปิดตัว

นายวิศิษฐ์ กล่าวอีกว่า ในปี 2568 สหกรณ์ และกลุ่มเกษตรกรที่จะได้รับผลกระทบมากในการดำเนินการ ได้แก่ 1.ร้านค้าสหกรณ์ เนื่องจากปัจจุบันทุกหย่อมหญ้ามีร้านค้าขนาดเล็กจำนวนมาก รวมถึงร้านสะดวกซื้อ ทำให้แข่งขันกับทุนใหญ่ได้ยาก ทำให้ปิดกิจการลงไปจำนวนมาก เหลือเพียงร้านสหกรณ์ในสถานที่ราชการ และโรงพยาบาลที่ยังพออยู่ได้ โดยได้ประโยชน์จากโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นตัวช่วย 2.สหกรณ์ประมง ที่ปัจจุบันเหลืออยู่แค่ 10 กว่าแห่ง จากที่ผ่านมาภาคประมงได้เผชิญวิกฤตด้านอาชีพ ทำให้สหกรณ์ประมงได้รับผลกระทบตามไปด้วย ซึ่ง 2 กลุ่มนี้มีแนวโน้มจะลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ

ส่วนปัญหาการทุจริตในสหกรณ์ ทางกรมได้มีมาตรการป้องกัน โดยการให้ความรู้ด้านธรรมาภิบาล ด้านการตรวจสอบภายในของสหกรณ์ และให้ผู้ตรวจการสหกรณ์ที่ทางกรมฯให้เข้าไปตรวจสอบ ขณะที่สหกรณ์ที่เกิดการทุจริตไปแล้วจะมีทีมกฎหมายลงไปช่วยติดตามทรัพย์คืน รวมถึงการฟ้องคดีกับผู้ทำการทุจริต ซึ่งได้มีการลงนามเอ็มโอยูระหว่างกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา

อย่างไรก็ดีการดำเนินงานของกรมฯ ยังคงยึดสหกรณ์ใน 7 ประเภท แต่กฎหมายเปิดโอกาสให้มีสหกรณ์ประเภทที่ 8 ได้ โดยออกกฎกระทรวง แต่ ณ ขณะนี้ยังไม่มี ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะไปอยู่ในรูปย่อยของสหกรณ์ ประเภทบริการ อาทิ สหกรณ์บ้านมั่นคง และสหกรณ์แท็กซี่ เป็นต้น 

หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจปีที่ 45 ฉบับที่ 4,079 วันที่ 16 - 19 มีนาคม พ.ศ. 2568