นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป ของไทยเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เท่ากับ 100.55 เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งเท่ากับ 99.48 ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสูงขึ้น 1.08%
โดยปัจจัยหลักมาจากการสูงขึ้นของราคาสินค้าในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะผลไม้สด เครื่องประกอบอาหาร เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และอาหารสำเร็จรูป ประกอบกับมีการสูงขึ้นของราคาน้ำมันดีเซล ค่ากระแสไฟฟ้า และค่าโดยสารเครื่องบิน สำหรับราคาสินค้าและบริการอื่น ๆ ส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อไม่มากนัก
ขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ข้อมูลล่าสุดเดือนมกราคม 2568 พบว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยสูงขึ้น 1.23% ซึ่งยังคงอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำ
โดยอยู่ระดับต่ำอันดับ 23 จาก 128 เขตเศรษฐกิจที่ประกาศตัวเลข และต่ำเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มประเทศอาเซียนจาก 8 ประเทศที่ประกาศตัวเลข ได้แก่ บรูไน มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม สปป.ลาว
สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่สูงขึ้น 1.08% ในเดือนนี้ มีการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าและบริการ ดังนี้
กลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ กลุ่มเนื้อสัตว์ เป็ดไก่ และสัตว์น้ำ กลุ่มเครื่องประกอบอาหาร กลุ่มข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง กลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำตาล และกลุ่มไข่และผลิตภัณฑ์นม
อย่างไรก็ตาม มีสินค้าหลายรายการที่ราคาลดลง อาทิ ผักสดบางชนิด ผลไม้บางชนิด ไก่ย่าง/ไก่ทอด และซีอิ๊ว เป็นต้น
ส่วนสินค้าสำคัญหลายรายการที่ราคาลดลง อาทิ แก๊สโซฮอล์ ของใช้ส่วนบุคคล เช่น แชมพู สบู่ถูตัว ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว น้ำยาระงับกลิ่นกาย แป้งผัดหน้า สิ่งที่เกี่ยวกับการทำความสะอาด เช่น น้ำยาล้างจาน น้ำยาถูพื้น น้ำยาล้างห้องน้ำ และเสื้อผ้า เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม มีสินค้าอีกหลายรายการที่ราคาปรับสูงขึ้น อาทิ เนื้อสุกร น้ำมันพืช ส้มเขียวหวาน กับข้าวสำเร็จรูป และกาแฟผงสำเร็จรูป
สำหรับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนมีนาคม 2568 คาดว่าจะอยู่ระดับใกล้เคียงกับเดือนกุมภาพันธ์ 2568 โดยมีปัจจัยสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับสูงขึ้น ประกอบด้วย
อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลง ประกอบด้วย
สำหรับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปช่วงไตรมาสแรก (มกราคม - มีนาคม) คาดการณ์ว่าจะสูงกว่า 1% ขณะที่ภาพรวม ปี 2568 ยังคงคาดการณ์ ว่าจะอยู่ระหว่างร้อยละ 0.3 - 1.3 (ค่ากลางร้อยละ 0.8) ซึ่งเป็นอัตราที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันโดยมีปัจจัยที่สนับสนุนให้ทั่วไปปรับสูงขึ้น